สวนนงนุช

ที่เที่ยวสวนนงนุชพัทยา.jpg

สวนนงนุชพาราไดซ์ ที่เที่ยวที่ครองใจคู่รักในพัทยา แหม่พูดแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องบอกเลยนะครับว่ามาเที่ยวที่นี้ต้องมากับคู่รักกันแน่ๆ แต่ที่จริงแล้วจะมากับคู่รักหรือครอบครัวก็อบอุ่นกันไปคนละแบบนะครับ ส่วนตัวผมว่ามากับครอบครัวดีกว่าเพราะถ้ามาเป็นหมู่คณะเขามีส่วนลดให้ด้วยครับ

สวนนงนุชมีจุดที่สามารถเที่ยวชมธรรมชาติต่างๆ ภายในสวนนงนุชมากเกือบ 60 จุด เพลิดเพลินกับการแสดงของ ช้างแสนรู้ ความสามารถที่คุณคาดไม่ถึงทั้งในการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล โบว์ลิ่ง รวมทั้งศิลปะการวาดภาพและการเต้นรำ อันเป็นที่ชื่นชอบและประทับใจของนักท่องเที่ยว ที่ได้มาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก และชมความยิ่งใหญ่งดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยที่อ่อนช้อยสวยงาม พร้อมฉากและเครื่อง แต่งกายที่ประณีตอลังการใส่ใจทุกรายละเอียดของการแสดง

หากเพื่อนๆเข้ามาในสวนนงนุชแนะนำให้มารับแผนที่หรือคำอธิบายต่างๆที่ท่านสงสัยที่เคาวน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ตึกประชาสัมพันธ์ด้านในถัดจากจุดจำหน่ายบัตรมาไม่ไกล สอบถามสาวๆที่นี่ดูได้นะครับ

“โรงละครนงนุชเธียเตอร์”
สร้างความตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่ของโรงละคร ในระบบแสงสีเสียง โรงละครนงนุชเธียเตอร์พร้อมต้อนรับและให้บริการกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เปิดรอบการแสดงทั้งหมด 7 รอบการแสดง
โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้
รอบที่ 1 เวลา 10.30 น.
รอบที่ 2 เวลา 11.30 น.
รอบที่ 3 เวลา 13.30 น.
รอบที่ 4 เวลา 14.30 น.
รอบที่ 5 เวลา 15.30 น.
รอบที่ 6 เวลา 16.30 น.
รอบที่ 7 เวลา 17.30 น.

เวลาเปิดปิด
เปิดให้บริการตั้งแต่ 8.00 น. – 18.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด ส่วนร้านอาหารต่าง ๆ รวมถึงคาราโอเกะเปิดถึง 4 ทุ่ม ทุกวันเช่นกัน
ค่าธรรมเนียม
1. บัตรผ่านประตูชมสวน ท่านละ 150 บาท (เด็กสูง 90 – 130 ซม. 80 บาท)
2. ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย 4 ภาค ท่านละ 250 บาท
3. ชมการเเสดงช้างแสนรู้ ท่านละ 250 บาท
4. ราคาแพ็คเกจหน้าประตู (บัตรผ่านประตูชมสวน + ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย 4 ภาค
+ ชมการเเสดงช้างแสนรู้ ท่านละ 400 บาท (เด็กสูง 90 – 130 ซม. 250 บาท))
เวลาในการเที่ยวชมสวน
กับพื้นที่ 1,500 ไร่ มีสวนสวยมากมาย รวมทั้งกิจกรรมและสิ่งน่าสนใจให้เยี่ยมชม แนะนำให้ใช้เวลา 1 วัน ในการเที่ยวชมสวนได้มีข้อมูลในแผนที่และบริการรถขนส่ง ท่านสามารถชมสวนโดยใช้เวลาเพียงครึ่งวันได้
อาหาร มาเที่ยวสวนเราท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร เราจัดเตรียมอาหารทุกแบบไว้คอยต้อนรับ ท่านสามารถเลือกตามใจชอบทั้งอาหารสากล อาหารอิตาเลี่ยน อาหารจีน อาหารตะวันตกและอาหารอร่อยๆแบบไทยๆ และอย่าลืมไปชิมอาหารทะเล

สวนนงนุชพัทยา.jpg

การเดินทาง
สำหรับการเดินทางเพื่อมาเที่ยวชมสวนนงนุชแห่งนี้ไม่ยากเลย โดยหากท่านมาจากกรุงเทพ
ขับรถตามถนนสุขุมวิทผ่านจังหวัดชลบุรี ผ่านเมืองพัทยาโดยใช้เส้นทางถนนสายสุขุมวิทตลอดทางเมื่อ
เข้าเขตบ้านอำเภอ ผ่านทางเข้าวัดญาณสังวรารามตรงมาที่ตำบลบางเสร่ สวนนงนุช จะอยู่ก่อนที่จะถึง
ตำบลบางเสร่ประมาณ 3 กิโลเมตรจะมีป้ายใหญ่บอกทางเข้าชัดเจนไม่ต้องกลัวหลงทาง…
หรือท่านอาจจะติดต่อสอบถามขอรายละเอียดได้ที่
สวนนงนุช 038 – 238061 -63

อ้างอิง  https://www.ipattaya.co

 

สวนน้ำ

โดยสวนน้ำ Santorini Park Waterventures มีเครื่องเล่นที่ให้เราได้ไปสนุกกันมากมาย ไฮไลท์เด็ดที่ต้องมาลองก็ต้องนี้เลยเจ้าสไลด์เดอร์สีฟ้าที่เหมือนท่อรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ ชื่อว่าTORNADO สไลเดอร์ที่ดีที่สุดในโลก การันตีด้วยรางวัลมากมาย ส่งตรงจากประเทศแคนนาดา โดยเราจะต้องนั่งในห่วงยางที่สามารถนั่งได้ถึง 4 คน แล้วไหลจากท่อเข้าสู่กรวยขนาดใหญ่ที่เหมือนกำลังโดนดูดไปในทอร์นาโด ความมันส์และความเสียวให้เต็มร้อยเลยค่ะ

9a9232b32e96b08e83cf8168d81c2b4faf708220.jpg

ค่าเข้าผู้ใหญ่ราคา 900 บาท จูเนียร์ (120-129 cm.) 650.-  เด็ก (90-119 cm.)  350 บาท และ เด็กสูงไม่เกิน 90 cm. เข้าฟรีค่ะ

ที่ตั้ง : ซานโตรินี  พาร์ค ชะอำ เลขที่ 555 หมู่ 3 ต.เขาใหญ่ ชะอำ จ.เพชรบุรี
โทร : 02434 6921-8, 032 772 997-9
เปิดบริการ : จันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.30-18.30 น. / เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 9.00-18.30 น.

สวนน้ำรามายณะ ถูกสร้างขึ้นในปี 2016 เป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ ประกอบด้วยเครื่องเล่นสไลเดอร์ 21 เครื่อง มีกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจกว่า 50 ชนิด เป็นสวนน้ำที่มากกว่าแค่สวนน้ำ ในพื้นที่อันกว้างขวางนั้น มีกิจกรรมต่างๆมากมายให้ร่วมสนุก – ทั้งในน้ำและบนบก – รับประกันความบันเทิงเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่นี่ ทั้งเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายเลิศรส

อัตราค่าบริการ

บัตรรายวัน – ทั้งวัน (บาท) ปกติ
ผู้ใหญ่(สูงตั้งแต่ 122 ซม.ขึ้นไป) 1,190 ‎฿
เด็ก (สูงตั้งแต่ 91 – 121 ซม.) 890 ‎฿
ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สตรีมีครรภ์ และผู้พิการ 590 ‎฿
เด็ก (สูงต่ำกว่า 90 ซม.) ฟรี

9fd291a7b006a0bef423e849e0bc0944277dd243.jpg

cefbe2d2d1a41769972ca8bbeadd869fb7b0809f.jpg

อ้างอิง  https://www.chillpainai.com/

น้ำตกนางรอง

น้ำตกนางรอง ตั้งอยู่ที่ตำบลหินตั้ง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 3049 น้ำตกนางรองอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ ไม่สูงนัก มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ในช่วงฤดูฝนกระแสน้ำจากน้ำตกนางรองจะไหลเชี่ยวมากควรระมัดระวังในการลงเล่นน้ำ การจัดบริเวณภายในเป็นระเบียบสะอาดตา และมีบ้านพักบริการ

nangrongfalls02.jpg

การเข้าชมน้ำตกนางรองนักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าบำรุงสถานที่ ดังนี้ รถยนต์โดยสาร (รวมบุคคล) 150 บาท รถยนต์เล็ก (รวมบุคคล) 50 บาท รถตู้ (รวมบุคคล) 100

ทางเข้าน้ำตกนางรอง การเดินทางที่ใช้เวลาไม่นานนักจากเมืองนครนายกมาตามทางหลวงหมายเลข 3049 สังเกตุกันสักนิดตรงหมายเลขของทางหลวงนำหน้าด้วยเลข 3 เพราะทางหลวงสายนี้แยกมาจากทางหลวงหมายเลข 33 เส้นทางสายหลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออกจังหวัดสระแก้ว เป็นการแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบของกรมทางหลวง ไม่อย่างนั้นภาคตะวันออกจะมีเพียง 4 จังหวัดซึ่งเล็กไปหน่อย แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับการเดินทางไปน้ำตกนางรองมากนัก แค่เกริ่นขึ้นมาพอให้รู้กันเป็นความรู้รอบตัว

กลับมาว่ากันที่ทางหลวงหมายเลข 3049 กันดีกว่า ถนนสายนี้เป็นถนนสายท่องเที่ยวหลักของนครนายก แต่ละวันต้อนรับนักท่องเที่ยวนับพัน ในวันหยุดจำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งสูงไปเป็นหลักหมื่น ถนนสายนี้ผ่านสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง มีทางแยกสาขาไปทางหลวงหมายเลข 3050 มุ่งตรงไปยังน้ำตกสาริกา จากทางแยกมาไม่ไกลก็จะมีอุทยานพระพิฆเณศองค์ใหญ่ของนครนายก เลยมาอีกหน่อยมีวัดพราหมณีสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อปากแดงอันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อปากแดงเป็นที่โจษขานกันไปทั่ว คนที่ได้ยินข่าวต่างก็มุ่งหน้ามาสักการะขอพรสะเดาะเคราะห์นอนโลงศพมากมายแน่นวัดไปหมด ปากทางเข้าวัดรถติดมากเพราะคนเข้าคนออกวัดแห่งนี้เยอะมากนั่นเอง ถัดไปอีกไม่ไกลมากจะมีตลาดของฝากนครนายก ตรงนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ารถจะมากขนาดไหน ต่างคนต่างจอดหาของฝากติดไม้ติดมือกันไปเท่าที่เห็นมีเยอะจะเป็นหน่อไม้ต้ม น้ำพริกชนิดต่างๆ กล้วยแปรรูปเช่น กล้วยฉาบ ฯลฯ ผักสดก็มีหลายชนิดตลาดที่เป็นแผงข้างถนนเรียงต่อกันยาวเหยียดนี้กลายเป็นจุดซื้อของฝากที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเห็นอยู่ในหลายจังหวัด

สถานที่ท่องเที่ยวถัดไปเป็นเชื่อนขุนด่านปราการชลหรือเขื่อนคลองท่าด่าน โครงการในพระราชดำริ สร้างประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนหลายครัวเรือนในเรื่องน้ำ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด เหนือเขื่อนชมวิวสวยงาม ท้ายเขื่อนลงเล่นน้ำในลำธาร มีบ้านพักหลายขนาดไว้บริการนักท่องเที่ยว ไม่ไกลกันนักก็จะมีทางเข้าวังตะไคร้ ที่แห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวมานับสิบๆ ปี ตั้งแต่ผมเรียนอยู่เวลาจะไปเที่ยวเล่นน้ำ ก็จะมีชื่อวังตะไคร้อยู่ในลิสต์ตัวเลือกหนึ่งเสมอๆ จากนั้นสุดถนนที่น้ำตกนางรอง สถานที่ท่องเที่ยวของเราสำหรับวันนี้

ทางเข้าน้ำตกนางรองมีร้านค้ามากมายให้บริการมีลานจอดรถให้เลือกหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่จะพยายามขับเข้าไปให้ลึกที่สุดจะได้เดินไม่ไกล เมื่อจอดรถแล้วแนะนำให้มาไหว้ฤๅษีลับแล และฤษีกัตปะ อยู่ในอาศรมแห่งนี้ก่อนที่จะไปเที่ยวน้ำตกอย่างสบายใจ น้ำตกแต่ละแห่งนั้นจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่เสมอ เป็นความเชื่อของผมตั้งแต่เป็นเด็ก จนตอนนี้ไม่ว่าจะไปเที่ยวน้ำตกไหนก็จะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนอื่นใด

ป้ายน้ำตกนางรอง มุมมหาชน ไปที่ไหนก็ถ่ายป้ายที่นั่น จะได้รู้ว่าเราได้มาแล้ว และจะได้จำได้ไม่ลืมว่าที่นี่ชื่อน้ำตกนางรอง ไม่งั้นหากเอาไฟล์รูปภาพจากกล้องไปลงคอมไว้มากๆ ไม่จัดโฟลเดอร์ให้ดีมีหวังเปิดดูทีหลังทั้งงงทั้งจำไม่ได้ ใครจะว่าวิวสิ้นคิดก็ช่าง ผมจะถ่ายรูปป้ายเป็นรูปแรกๆ ของอัลบัมเสมอ ป้ายน้ำตกนางรองอยู่ริมถนน ห่างจากลำธารที่ไหลผ่านโขดหินน้อยใหญ่เกิดเป็นน้ำตกหลายชั้นเพียงไม่มาก แต่ถ้าจะลงไปยังน้ำตกจะต้องเดินทางสะพานทางลงน้ำตกให้เจอก่อน เพราะระหว่างถนนกับลำธารมีห้วยเล็กๆ คั่นอยู่ ตอนนี้ผมยังไม่ลงน้ำตกแต่จะไปยังจุดชมวิว เพื่อชมวิวสวยๆ ของน้ำตกนางรองก่อนnangrongfalls03.jpg

ทางเดินไปจุดชมวิว จากลานจอดรถ แม้ว่าจะมีถนนสายเล็กๆ ขึ้นเนินไปแต่เจ้าหน้าที่จะเอาเหล็กมากั้นเขียนบอกว่าห้ามรถทุกชนิดเข้าไป ฉะนั้นเราก็ต้องเดิน แต่ระยะทางมันไม่ไกลมาก ดูเหมือนจะประมาณ 300 เมตรละมั้ง สองข้างทางเขียวขจีต้นไม้สูงใหญ่ตลอดแนว แสดงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ความชุ่มชื้นดูกันที่มอสเฟิร์นที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ และขอบทางเดิน

nangrongfalls08.jpg

อ้างอิง   https://www.touronthai.com

 

ตลาดรถไฟรัชดา

ตลาด.jpg

กลับมาให้หายคิดถึงกันแล้ว กับ ตลาดนัดรถไฟ ซึ่งครั้งนี้ตั้งอยู่แถบรัชดา ซึ่งหลายคนคงคิดถึงกับตลาดนัดสุดแนวแห่งนี้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่เก่าแถว อตก. หลังจากถูกเวนคืนที่ดินไป แม้ว่าตลาดนัดรถไฟ จะผุดขึ้นอีกแห่งที่ศรีนครินทร์ แต่ด้วยความไกลอยู่แถบชานเมือง คนในเมืองเดินทางไปไม่สะดวกนัก แต่การกลับมาครั้งนี้ ตลาดนัดรถไฟ รัชดา จะเป็นศูนย์รวมร้านค้าสุดชิค และร้านของเก่าสุดเท่ อีกเช่นเคย

ตลาดนัดรถไฟ รัชดา กลับมาครั้งนี้ มีอะไรดีกว่าที่คิด

ตลาดนัดรถไฟ รัชดา ได้เปิดทำการวันแรก 8 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา โดยจะเปิดทุกวันพฤหัสบดี – วันอาทิตย์ ตั้งแต่ เวลา 17.00 น. – 01.00 น. ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก หลังศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดา การเดินทางมาที่สะดวกที่สุด คือการนั่งรถไฟใต้ดิน MRT มายังสถานีศูนย์วัฒนธรรม ขึ้นทางออกที่ 3

travel.mthai.com ไม่รอช้าที่จะไปเก็บภาพมาฝากทุกท่าน ถึงแม้ว่าสินค้าอาจจะยังไม่ครบครันเท่าศรีนครินทร์ บางส่วนที่เป็นห้องแถวยังไม่แล้วเสร็จดี เพราะเพิ่งเปิด แต่คาดว่าเมื่อทุกอย่างครบสมบูรณ์ ตลาดนัดรถไฟแห่งนี้ จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของวัยรุ่น อีกครั้งอย่างแน่นอน

เริ่มเดินเข้ามา ก็พบกับกองทัพวงโยฮาร์ดคอร์ ช่วย PR ตลาดนัดรถไฟ ช่วยสร้างบรรยากาศให้คึกคักมากขึ้น

สวัสดีครับ สำหรับคนที่กำลังเปิดอ่านบทความนี้อยู่ น่ากำลังจะมองหาสถานที่เที่ยวเดินชิลล์ ยามค่ำคืน แน่นอน ถึง search มาเจอ หรือได้รับแชร์จากเพื่อนก็ตามที

แน่นอนครับ เรากำลังจะพูดถึงตลาดนัดรถไฟรัชดากัน

สำหรับหลายๆ คนที่ชอบของเก่า ของแปลกๆ หรือ ที่เดินกลางคืนแบบแนวๆ น่าจะรู้จักชื่อตลาดรถไฟ กันมาเป็นอย่างดี แม้ว่าต้นตำรับที่ตลาดรถไฟจตุจักรนั้นจะเหลือเพียงตำนาน แต่การเดินทางของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ยังสานต่อได้ ที่ ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมากอย่างเช่นเคย เล่นเอาการจราจรยามค่ำคืนในแถบนั้นหนาแน่นเลยทีเดียว

และล่าสุดในปี 2558 ตลาดนัดรถไฟรัชดา ก็ถือกำเนิดขึ้นมา อีกครั้ง เรียกว่าครั้งนี้ เขยิบเข้ามาใจกลางเมืองมากขึ้น เพราะอยู่ด้านหลังของห้างเอสพลานาดรัชดา นั่นเอง

อ้างอิง https://www.google.co.th

 

 

ปราสาทหินพันยอด ที่เที่ยวอันซีนหนึ่งเดียวในไทย ขุมทรัพย์กลางทะเลสตูล

เมื่อพูดถึงที่เที่ยวทางทะเลจังหวัดสูตลเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดถึงเกาะหลีเป๊ะ และเกาะตะรุเตามาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเกาะสวยทั้งสองแห่งนี้มีผู้คนเดินทางไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก

ภาพ2.jpg

สำหรับใครที่ไม่ต้องการไปพบเจอกับความวุ่นวายและอยากจะพบกับอันซีนของจังหวัดสตูลที่แท้จริง วันนี้ เราจะพาไปดูกับครับ กับปราสาทหินพันยอดอัญมณีลับที่ซ่อนความสวยงามไว้อยู่ในทะเลสตูล

การเดินทางไปปราสาทหินพันยอดนั้นเริ่มต้นจากการขึ้นเรือที่ท่าเรือปากบารา โดยเรือที่จะพาเราเดินทางไปในวันนี้จะเป็นเรือหัวโทงเอกลักษณ์ของภาคใต้ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

เมื่อนักท่องเที่ยวทุกคนพร้อมกันบนเรือไกด์ของเราก็จะทำหน้าที่แนะนำตัวและอธิบายโปรแกรมของเราในวันนี้ พร้อมทั้งให้ข้อมูลแก่เราตลอดระยะเวลาการเดินทาง

ได้เวลาออกเดินทางพี่คนขับพาเราแล่นออกสู่ท้องทะเลที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ยอมรับเลยว่าที่นี่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ภูเขาทุกลูกยังถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีทำให้รู้สึกสบายตาเมื่อได้มองจริงๆ

จุดแรกที่เราจะไปกันในวันนี้มีชื่อว่าสันหลังมังกร สันหลังมังกรคืออะไรนั้นต้องตามไปดูกันครับ โดยเมื่อเรือวิ่งมาได้สักพักก็จะถึงจุดที่ต้องแล่นผ่านป่าโกงกาง ซึ่งมีความร่มรื่นเป็นอย่างมาก

เมื่อวิ่งผ่านป่าโกงกางไปแล้วสันหลังมังกรก็เผยตัวออกมาให้เราได้เห็น สันหลังมังกรที่ว่านี้ก็คือทะเลแหวกนั่นเองครับ ซึ่งบริเวณตรงนี้จะเป็นสันทรายที่สามารถลงไปเดินเล่นถ่ายรูปกันได้

มีความขนาดความยาวประมาณ 3-4 กิโลเมตรเลยทีเดียว ทรายที่นี่ค่อนข้างละเอียดและนุ่มเท้าเอามากๆ วิวโดยรอบก็สวยงาม ทุกคนต่างลงจากเรือมาเดินเล่นบนสันทรายหามุมถ่ายรูปของตัวเองกันอย่างสนุกสนาน

ในบางมุมถ่ายออกมาแล้วจะเหมือนกับเราว่าตัวเรายืนอยู่บนผืนน้ำเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับโปรแกรมในวันนี้เลยครับสำหรับสันหลังมังกร

เมื่อเก็บภาพความประทับใจกันจนพอใจแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อ ซึ่งเราต้องแล่นเรือผ่านกลับมาที่ป่าชายเลนทางเดิม แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะข้างทางป่าชายเลนนั้นมีเรือคายัคหลายลำผูกติดรอเราไว้อยู่ด้วย

และความสงสัยในใจของเราก็ได้กระจ่างเพราะเรือคายัคเหล่านี้ก็คือกุญแจที่จะพาเราเข้าสู่ปราสาทหินพันยอดนั่นเอง พี่คนเรือจัดการผูกเรือคายัคเข้ากับท้ายเรือหัวโทงแล้วลากเรือคายัคทั้งหมดวิ่งผ่านป่าชายเลนออกสู่ทะเล

ใช้เวลาไม่นานมากนักขบวนเรือคายัคที่ลากมาโดยเรือหัวโทงของเราก็มาอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าปราสาทหินพันยอดได้สำเร็จ

และวินาทีที่เรารอคอยก็มาถึงเมื่อเรือคายัคลำของเราค่อยๆ ลอดผ่านประตูหินเข้าสู่ใจกลางปราสาทหินพันยอด เราเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสีน้ำภายในที่จะมีสีออกเขียวๆ แต่ใสมากๆ

ภาพ3.jpg

และมีชายหาดเล็กๆ รอเราอยู่ตรงหน้า เรือมาจอดเทียบให้เราลงที่ชายหาดและเมื่อเราหันหน้าออกสู่ทางประตูหินที่เราเข้ามาเราก็รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เราได้อยู่ใจกลางปราสาทหินพันยอดสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลสตูลแล้ว!

อ้างอิง https://www.sanook.com

ฟามส์ นครนายก

ภาล.jpg

ผู้ร่วมทริปตัวน้อยพร้อมแล้วก็ออกสตาร์ทรถทันที  บก.พาชิมพาชม ขับออกจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3049พร้อมแล้วเดินตาม บก.พาชิมพาชม กับหลานๆ มาที่แรก “เด็กเลี้ยงแกะ”  โซนที่เด็กคนไหนเห็นก็ต้องถูกใจเป็นพิเศษ

 

พอเวลาใกล้เที่ยงแดดจะร้อนมากๆ  ต้องขอตัวพาหลานตัวน้อยมาตากแอร์พักเหนื่อย สั่งของอร่อยมาชิมสักหน่อย สำหรับโซนสองเป็นคุณจะได้พบกับความน่ารักของฝูงแกะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนฟู หนาหุ่ม ในบรรยากาศฟาร์มแบบสวิซ ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่โอบล้อมด้วยไออุ่น…….ล

ภาง.jpg

 

ข้อมูล : วังตะไคร้หรือจุมภฏ – พันธุ์ทิพย์อุทยาน  เป็นแหล่งที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 120 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวจังหวัดนครนายก ประมาณ 16 กิโลเมตร มวลพฤกษชาติ พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ภายในอุทยานแห่งนี้จะออกดอกสะพรั่งตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทำให้เกิดทัศนียภาพงดงามทุกฤดูกาลโดยเฉพาะในฤดูฝน นอกจากนั้น ยังมีพันธุ์ไม้ นานาชนิด อุทยานวังตะไคร้ จึงเป็นดินแดนที่มีเสน่ห์แห่งความงามตามธรรมชาติ

ที่ตั้ง : 222 หมู่ 1 ตำบลสาริกา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก 26000

โทรศัพท์ : 037-385-164-5, 081-989-0365

เวลาเปิด-ปิด : 8.00-18.00 น.

การเดินทาง : ใช้เส้นทางรังสิต-นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกสามสาว หลังจากนั้นตรงตลอดจนถึงตัวเมืองนครนายก สังเกตุป้ายน้ำตกสาริกา น้ำตกนางรอง เขื่อนขุนด่านปราการชลให้ไปตามเส้นทางนั้น (ถนนหมายเลข 3049)ผ่านโรงพยาบาลนครนายก วัดหลวงพ่อปากแดง เมื่อถึงไฟจราจรที่แยกสาริกา (หากตรงจะไปน้ำตกสาริกา) ให้เลี้ยวขวาและขับต่อไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ทางเข้าวังตะไคร์จะอยู่ทางซ้าย ถึงก่อนน้ำตกนางรอง 2 กิโลเมตร หากวิ่งข้ามสะพานไปอีกเล็กน้อย จะพบทางเข้าเขื่อนขุนด่านปราการชลทางขวามือ

อุทยานวังตะไคร้ เป็นอุทยานที่ได้รับการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ ประดับนานาพันธุ์ ในเนื้อที่ 1,500 ไร่มีถนนให้รถยนต์วิ่งเข้าชมใน บริเวณได้ เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไปทั้งประเภท เช้าไปเย็นกลับ และประเภทค้างแรม

อ้างอิง  http://www.tournakhonnayok.com

ทุ่งบัวเเดง เมืองอุดรธานี

ทะเลบัวแดง อุดรธานี 2560 ชมพูสะพรั่งบานรับลมหนาว

ทะเลบัวแดง-1.jpg

 

ชวนไปชมความสวยงามของทะเลบัวแดง บึงหนองหาน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ที่เริ่มบานสะพรั่งในบึงกว้างใหญ่หลายหมื่นไร่ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายและสายหมอกยามเช้า   

เริ่มกลับมาบานอีกครั้งแล้วกับทะเลบัวแดง อุดรธานี 2560 เป็นทะเลบัวแดงที่สวยและใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ที่จะบานสะพรั่งในทุก ๆ ฤดูหนาว ท่ามกลางบึงหนองหาน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ทางภาคใหญ่อีสาน เป็นสถานที่ชมดอกไม้หน้าหนาวสวย ๆ ที่คุณต้องไม่พลาด

ใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวชมดอกไม้หน้าหนาวแบบสวยงามตระการตา หนาวนี้ต้องไปสัมผัสกับทะเลบัวแดง อุดรธานี 2560 กันค่ะ

โดยสื่อท้องถิ่นของจังหวัดอุดรธานีได้มีการรายงานว่าขณะนี้ทะเลบัวแดง อุดรธานี ที่บึงหนองหาน อำเภอกุมภวาปีนั้น ได้เริ่มเบ่งบานแล้ว และคาดว่าจะมีให้ชมไปจนถึงประมาณกลางเดือนมีนาคม 2561 เลยทีเดียวทะเลบัวแดง อุดรธานี มักจะเบ่งบานสีชมพูสะพรั่งในทุกฤดูหนาว โดยจะบานไปทั่วพื้นที่ส่วนหนึ่งของบึงหนองหาน อำเภอกุมภวาปี รวมพื้นที่กว่าหมื่นไร่ โดยทางชุมชนได้มีการจัดเรือนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมทะเลบัวแดงกันอย่างใกล้ชิด ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการชมทะเลบัวแดง อุดรธานี จะอยู่ในช่วง 06.00-11.00 น. โดยเฉพาะยามเช้าที่จะได้เห็นดอกบัวแดงชูช่อล้อกับสายหมอกบาง ๆ รับกับแสงตะวันสีทองอย่างสวยงาม

ขาน.jpg

 

นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อลงเรือนำเที่ยวได้หลายจุด เช่น ท่าเรือบ้านเดียม (ท่าเรือหลัก), ท่าเรือบ้านโนนน้ำย้อย, ท่าเรือบ้านแชแล ฯลฯ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณไพรสิทธิ์ สุขรมย์ (ประธานกลุ่มเรือฯ) โทรศัพท์ 08 9395 0871

ค่าบริการเรือนำเที่ยวเช่าเหมาลำ จะมี 2 ราคา คือ 300 บาท และ 500 บาท โดยราคาที่แตกต่างกันนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะทาง และตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป เรือจะนั่งได้ลำละ 5 ท่าน

ทั้งนี้ทางเพจ Udongraphy ได้แนะนำข้อน่ารู้การไปเที่ยวทะเลบัวแดง อุดรธานี ไว้ให้นักท่องเที่ยวมือใหม่ที่จะไปเที่ยวทะเลบัวแดง อุดรธานี ดังนี้

 

เวลาที่เหมาะกับการชมบัวคือประมาณ 06.00-09.00 น. เพราะพระอาทิตย์จะขึ้นเวลาประมาณ 6 โมงเช้าเป็นต้นไป ถ้าอยากสัมผัสไอเย็นและแสงแดดยามเช้า ดูพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งเราจะได้เห็นการเริ่มต้นของระบบนิเวศน์บริเวณนั้น

ข้อแนะนำ : สำหรับท่านที่ต้องการมาชมพระอาทิตย์ขึ้น ควรมาถึงท่าเรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 10-15 นาที เพราะต้องเผื่อเวลานั่งเรือด้วยครับ

ช่วงเวลาที่เหมาะคือ เดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเป็นช่วงที่บัวจะมีปริมาณเยอะมากที่สุด โดยจากการสำรวจและสอบถามคนขับเรือของทีมงาน พบว่าปี 2560 นี้ ปริมาณบัวจะเยอะมากกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากปริมาณน้ำที่เยอะ ชะล้างสิ่งสกปรก และสาหร่ายต่าง ๆ ทำให้ปีนี้โอกาสที่บัวจะเกิดมีได้มากกว่าปีที่ผ่านมา

ข้อแนะนำ : เนื่องจากทะเลบัวแดงที่เราเห็นมีหลายแปลง ระยะเวลาที่บัวจะเกิดให้เต็มทุกแปลงจะอยู่ประมาณหลังวันที่ 15 ธันวาคม (จากการสอบถามคนขับเรือ) จะขึ้นครบทุกแปลงซึ่งกินเนื้อที่มากถึง 10,000 ไร่

เรือจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ เรือเล็ก : ราคา 300 บาท/ลำ นั่งได้ 2 – 3 คน และเรือใหญ่ : ราคา 500 บาท/ลำ นั่งได้ 8 คน

*** เรือทุกลำมีเสื้อชูชีพให้เพื่อความปลอดภัย ***

ข้อแนะนำ : เรือเล็กจะให้ภาพที่สวยกว่าเนื่องจากจะสามารถเปิดหลังคาได้ ทำให้เห็นบัวได้เยอะกว่า แต่เนื่องจากลำเล็กทำให้มีอาการโคลงของเรือ จึงไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุสักเท่าไรครับ

อ้างอิง https://travel.kapook.com

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา

บง.jpg

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (อังกฤษMariana Trench, Marianas Trench) เป็นชื่อธรณีวิทยาทางทะเลของร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของเปลือกโลกเท่าที่ทราบกันในปัจจุบัน ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีตำแหน่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอยู่ในแนวตะวันออกและแนวใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา ณ พิกัด 11° 21’ เหนือ และ 142° 12’ ตะวันออก ใกล้เกาะกวม

ลักษณะ

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า “Tectonic Plates” สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นฝ่ายลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้ที่มีชื่อเรียกว่า “แชลเลนเจอร์ดีป” (Challenger Deep) อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและ ส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ในขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร

การสำรวจ

แผ่นธรณีแปซิฟิกที่มุดตัวลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา, ในส่วนที่เป็นร่องลึกมาเรียนา, และ (เพิ่มเติมเกี่ยวกับ)ส่วนโค้งของร่องลึก เป็นน้ำพุร้อนจะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และ เกิดการระเบิดขึ้นในรูปแบบของภูเขาไฟใต้สมุทร.

ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนานี้ได้รับการสำรวจพบในปี พ.ศ. 2494 โดยเรือของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาชื่อ[[แชลเลนเจอร์]ซึ่งได้ใช้ชื่อเรือนี้เรียกจุดลึกสุดดังกล่าว เรือแชลเลนเจอร์ 2 ใช้เครื่องวัดเสียงสะท้อน (echo sounding) วัดความลึกได้ 5,960 ฟาทอม (11,022 เมตร) ณ พิกัด 11° 19’ เหนือ 142° 15’ ตะวันออก การวัดเสียงสะท้อนนี้ได้กระทำซ้ำโดยใช้หูฟังเสียงสะท้อนกลับในขณะที่เข็มเสียงลากผ่านระยะความลึกที่ความเร็วของเสียงค่อย ๆ ต่างกันตามความหนาแน่นของน้ำตามความลึก ในขณะเดียวกันที่ตัวเครื่องวัดเสียงสะท้อนก็ได้ใช้นาฬิกาจับเวลาชนิดมือถือจับด้วย ด้วยวิธีที่ฉลาดนี้ทำให้ต้องหักความลึกจากการคำนวณความต่างออกไป 20 ฟาทอม ตัวเลขเป็นทางการจึงได้รับการรับรองที่ 5,940 ฟาทอม หรือ 10,863 เมตร

ในปี พ.ศ. 2500 เรือของกองทัพเรือสหภาพโซเวียตชื่อ วีเตียซ (Vityaz) ได้รายงานความลึกที่ 10,034 เมตร โดยตั้งชื่อว่า “หลุมกลวงมาเรียนา” (Mariana Hollow) ในปี พ.ศ. 2503 สเปนเซอร์ เอฟ. แบร์ด บันทึกความลึกมากสุดได้ 10,915 เมตร ใน พ.ศ. 2527 รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเรือสำรวจที่ออกแบบพิเศษชื่อ “ทะกุโย” (Takuyō – 拓洋) ลงไปสำรวจร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาและเก็บข้อมูลโดยใช้ลำแสงแคบหลายลำแสง ร่วม ได้ความลึกที่ 10,924 เมตร ความลึกที่แม่นยำที่สุดได้จากการสำรวจของเรือดำนำลึกอีกลำหนึ่งชื่อ “ไคโก” (Kaikō – かいこう) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2538 ได้ความลึกที่ 10,911 เมตร

ยานทรีเอสต์กำลังเตรียมทำการดำลงสู่ก้นมหาสมุทรที่ลึกที่สุดเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2503

สำหรับการดำน้ำลึกที่ไม่เคยมีมาก่อนทำโดยยานสำรวจน้ำลึก (bathyscaphe) ของกองทัพเรืออเมริกันชื่อ “ทรีเอสต์” (Trieste) โดยสามารถดำลงถึงก้นร่องลึกได้สำเร็จเมื่อเวลา 13.06 น. ของวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2503 โดยนายทหารเรือชื่อ เรือตรีดอน วอลช์ (Ensign Don Walsh) และลูกเรือชื่อ ชาก ปีการ์ (Jacques Piccard) มีการใช้ลูกเหล็กกลมเป็นตัวอับเฉาและใช้น้ำมันเบนซินเป็นตัวทำให้ลอย อุปกรณ์บนยานแสดงความลึกที่ 11,521 เมตร แต่ได้ปรับแก้ภายหลังเป็น 10,916 เมตร ณ จุดท้องร่องลึก ทั้งสองประหลาดใจที่มองเห็นปลาตัวแบนขนาดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร รวมทั้งกุ้ง ปีการ์ให้ความเห็นว่าพื้นร่องลึกแลดูเบาและใสที่เกิดจากซากไดอะตอมดึกดำบรรพ์ที่ปูดขึ้นมา

ความกดดันของน้ำที่ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีแรงกดดันประมาณ 1,086 บาร์ หรือบรรยากาศ (15,751 psi) หรือประมาณมากกว่า 1,000 เท่าของบรรยากาศทั่วไปบนผิวโลกที่ระดับน้ำทะเล

ความนิยมด้านวัฒนธรรม[แก้]

  • ได้มีการนำเรื่องราวและข้อเท็จต่าง ๆ เกี่ยวกับร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ไปเขียนเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ บทภาพยนตร์ บทเพลงพ็อป คอมพิวเตอร์เกมส์ ตลอดจนการให้สมญานามแก่นักการเมืองในสหรัฐอเมริกา

น้ำตกเอนเจล

 

Ausflug_Salto-Angel_11_900x450.jpg

น้ำตกเอนเจล (อังกฤษAngel FallsสเปนSalto Angel) เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่กลางป่าดงดิบในประเทศเวเนซุเอลา เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก โดยสูงกว่าน้ำตกไนแอการา ถึง 18 เท่า มีความสูงกว่า 979 เมตร ซึ่งผู้ที่จะเข้าชมน้ำตกสามารถเข้าไปโดยทางเรือและเครื่องบินเท่านั้น ซึ่งชื่อน้ำตกมาจากนักบินชาวอเมริกัน จิมมี เอนเจล ผู้ค้บพบน้ำตกเป็นคนแรก เมื่อ ค.ศ. 1935

น้ำตกแห่งนี้มีชื่อเรียกในภาษาเปมอน ภาษาของคนพื้นเมืองเวเนซุเอลาว่า “ปาราคุปา-เวนา” (Parakupa-vena แปลว่า น้ำที่ตกจากจุดที่สูงที่สุด) หรือ “เคเรปาคุปาอิ เมรู” (Kerepakupai merú แปลว่า น้ำตกแห่งสถานที่ที่ลึกที่สุด) หรือ “ชูรุน เมรู” (Churun-meru แปลว่า น้ำตกสายฟ้า) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลาได้ประกาศเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการของน้ำตกนี้เป็นชื่อพื้นเมืองดั้งเดิม คือ เคเรปาคุปาอิ เมรู โดยให้เหตุผลว่า “น้ำตกนี้เป็นของชาวเวเนซุเอลามานมนานก่อนที่ชาวอเมริกัน จิมมี แองเจิล จะมาพบ” [2] น้ำตกนี้มีลักษณะประหลาดคือ น้ำไม่สามารถตกถึงพื้นได้ เนื่องจากความสูงของน้ำตกสูงมากทำให้กว่าน้ำตกถึงพื้นมันจะกลายเป็นหมอกไปซะก่อน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีหมอกหนาปกคลุมตลอดเวลา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก

ซึ่งน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกอย่างน้ำตกเอนเจลแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเอนเจลนั้นมาจากชื่อของผู้ค้นพบน้ำตกแห่งนี้เป็นคนแรกก็คือ จิมมี เอนเจล นั่นเอง โดยเขาได้ค้นพบน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1935 และหากจะเข้าไปเยี่ยมชมนั้นสามารถเข้าไปชมได้เพียงสองทางคือ ทางเครื่องบิน หรือทางเรือเท่านั้น นอกจากนี้น้ำตกแห่งนี้ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ นั่นก็คือ น้ำที่ตกนั้นไม่สามารถตกลงถึงพื้นได้ เพราะน้ำตกแห่งนี้มีความสูงมาก เมื่อน้ำตกลงไปกว่าจะถึงพื้นก็กลับกลายเป็นหมอกไปเสียก่อน และนี่จึงทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกหนาที่ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา

อ้างอิง www.google.co.th

วัดมหาชัยมงคล

 

1427159029-DSC08315JP-o.jpg

เมืองร้อยเอ็ด เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าท่องเที่ยว ด้วยอารยธรรมที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึงวัดวาอารามที่สวยจนต้องตามไปไหว้พระ ทำบุญ ชมความงดงามกันสักครั้ง

พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดประมาณ80 ก.ม มีลักษณะเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

พระมหาเจดีย์ชัยมงคลออกแบบโดยกรมศิลปากร เป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศสร้าง ในเนื้อที่ 101 ไร่ กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร รวมยอดทองคำเป็น 109เมตร ใช้ทอง คำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือน อยู่บนวิมานแดนสวรรค์

  • ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ โอ่อ่า ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ
  • ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกัน ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลายไทยวิจิตรพิสดาร
  • ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์ อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์
  • ชั้นที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสม ถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมมา
  • ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอ้างอิงท http://www.paiduaykan.com