เครื่องมือทางการแพทย์

กี

สเต็ตโทสโคป (Stethoscope) มีหน้าที่ช่วยหมอในการฟังเสียงจากภายในของร่างกาย โดยส่วนมากใช้ฟังเสียงจากปอด และชีพจรการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้ก็ยังใช้ในการฟังเสียงจากลำไส้ และการไหลเวียนของเลือด ทั้งในหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ
สเต็ตโทสโคป ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ส. 1816 โดยผู้ที่คิดค้นและสร้างขึ้นมามีชื่อว่า นาย เรเน เลเน็ค เป็นนายแพทย์อยู่ที่ โรงพยาบาล Necker-Enfants Malades ในปารีส ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อไม้ ดูรูปร่างแล้วคล้ายกับเครื่องดนตรี ที่มีชื่อว่า ทรัมเปท เป็นอย่างมาก ปัจจุบัน สเต็ตโทสโคป ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญประจำตัวของหมอเลยทีเดียว เรามักจะเห็นหมอหลายท่านที่มีคนไข้มาตรวจรักษาโรคจำนวนมาก แขวนสเต็ตโทสโคป อยู่ติดกับคอ แทบจะตลอดเวลาที่ทำงาน สเต็ตโทสโคป มีหลายประเภท แบ่งเป็นแบบ อะคูสติก และ อิเล็กทรอนิค สเต็ตโทสโคปมีส่วนประกอบ 3 ส่วน ดังนี้คือ
1. ไดอะแฟรม คือส่วนที่แนบกับลำตัวผู้ป่วย เพื่อรับเสียงที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งเสียงนี้จะทำให้ไดอะแฟรมเกิดการสั่นสะเทือน
2. ท่อนำเสียง คือส่วนที่เป็นสายยางนำเสียงส่งต่อไปยังหูฟัง
3. หูฟังคือส่วนที่แนบอยู่กับหูของนายแพทย์ เพื่อรับฟังเสียงที่ส่งมาจากไดอะแฟรม

กา.jpg

ออสซิลโลสโคป (Cathode ray oscilloscope ; CRO ) หมายถึงออสซิลโลสโคปใช ้หลอดรังสีแคโทด สโคปเป็นเครื่องมือวัดทาง อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญอีกชนิดหนี่งที่ใช้ในการวัดแสดงรูปคลื่นสัญญาณต่างๆ ออกมาเป็นภาพ ปรากฎบนจอหลอดภาพให้เห็นได้ เช่น การวัดสัญญาณกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า(ที่เป็นไฟ AC หรือ DC) การวัดความถี่ของ สัญญาณ การวัดเฟสของสัญญาณ และรวมถึงการวัดสัญญาณพัลส์การอ่านค่าแอมพลิจูดของสัญญาณจะเป็น พีค-ทู-พีค หรือค่าพีคและค่าเวลาเป็นวินาที

การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ใช้ในการประเมินหรือตรวจวินิจฉัยปัญหาต่างๆ เช่น การกลืนลำบาก ปวดท้อง เลือดออกในช่องท้อง แผลในกระเพาะอาหาร และเนื้องอก

ประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับ
1.ตรวจวินิจฉัยและรักษามะเร็ง (Carcinoma) บริเวณ ลำคอ กล่องเสียง (Larynx and pharynx) จมูกและหลังโพรงจมูก (Nose and Nasopharynx) ได้อย่างแม่นยำ

2.ช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) และภาวะแทรกซ้อนเช่นโรคไซนัสอักเสบทั้งแบบเฉียบพลัน (Acute Sinussitis) และ แบบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis)

อ้างอิง  https://www.google.co.th

แอลเอชซีทดลองเร่งอะตอมตัวแรกเข้าใกล้ความเร็วแสง

องค์การเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือเซิร์น (CERN) แถลงว่าเครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่แอลเอชซี (LHC)ได้ทำการทดลองพิเศษก่อนปิดเครื่องซ่อมบำรุงประจำปี โดยได้เร่งให้อนุภาคของตะกั่วทั้งอะตอมเข้าใกล้ความเร็วแสง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การผลิตรังสีแกมมาพลังงานสูงที่อาจนำไปสู่การค้นพบสสารชนิดใหม่ได้

กัด.jpg

ตามปกติแล้วเครื่องชนอนุภาคแอลเอชซีมักทำการทดลองชนโปรตอน ซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานภายในนิวเคลียสของอะตอมเป็นหลัก แต่ในการทดลองพิเศษเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ตัดสินใจทดลองเร่งความเร็วของสสารทั้งอะตอมให้เข้าใกล้ความเร็วแสงเป็นครั้งแรก โดยใช้อะตอมของตะกั่วที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัวในการทดลองครั้งนี้

นักฟิสิกส์และวิศวกรของเซิร์นระบุว่า การทดลองดังกล่าวถือเป็นขั้นแรกในการทดสอบแนวคิด “โรงงานรังสีแกมมา” (Gamma Factory) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการเร่งสสารทั้งอะตอมจะทำให้แอลเอชซีสามารถผลิตลำแสงรังสีแกมมาพลังงานสูงไว้ใช้ เพื่อค้นหาสสารชนิดใหม่ ๆ เช่นสสารที่มีมวลมาก หรือแม้แต่ผลิตสสารมืด (Dark matter) ขึ้นมาเองได้

หากแอลเอชซีสามารถเพิ่มศักยภาพในการเป็น “โรงงานรังสีแกมมา” ได้สำเร็จ จะมีการใช้เลเซอร์ยิงอะตอมที่ถูกเร่ง เพื่อให้อิเล็กตรอนกระโดดสู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้น เมื่ออิเล็กตรอนดังกล่าวกลับคืนสู่ภาวะปกติ จะมีการคายพลังงานในรูปของโฟตอนหรืออนุภาคของแสงที่มีพลังมหาศาลออกมา ซึ่งก็คือลำแสงรังสีแกมมาที่ต้องการนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม การเร่งอนุภาคทั้งอะตอมนั้นทำได้ยาก เพราะโครงสร้างของอะตอมที่เปราะบางอาจทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกไประหว่างการทดลองและส่วนนิวเคลียสชนเข้ากับผนังท่อเร่งความเร็วได้ จึงต้องมีการทดสอบหาระดับพลังงานในการเร่งอนุภาคทั้งอะตอมที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดลำรังสีแกมมาที่มีความเสถียรเป็นเวลานานมากเพียงพอต่อการใช้งาน

รังสีแกมมาพลังงานสูงสามารถให้กำเนิดอนุภาคชนิดต่าง ๆ ทั้งที่เป็นสสารชนิดปกติทั่วไปเช่น ควาร์ก อิเล็กตรอน และอนุภาคมิวออน รวมทั้งสสารที่มีมวลมากซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปต่อไปเป็นสสารหายากเช่นสสารมืดได้

ภารกิจ “แตะ” ดวงอาทิตย์ของนาซา

วันนี้ (12 ส.ค.) นาซาได้ส่งยาน พาร์คเกอร์ โซลาร์ โพรบ ขึ้นไปสำรวจชั้นบรรยากาศรอบนอกของดวงอาทิตย์แล้ว เมื่อเวลา 14.31 น. ที่ผ่านมา ตามเวลาในไทย

กิน.png

ยานสำรวจขนาดเท่ารถยนต์คันเล็ก ๆ นี้ มีภารกิจที่จะเข้าไปถึงชั้นบรรยากาศรอบนอกของดวงอาทิตย์ พร้อมกับเกราะป้องกันความร้อนพิเศษจะช่วยให้ยานทนความร้อนได้ถึง 1,500 องศาเซลเซียส โดยจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สุดถึง 690,000 กม./ชม.

นาซาประกาศแผนดำเนินโครงการนี้เมื่อปี 2009 โดยใช้งบประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เกือบ 5 หมื่นล้านบาท) โดยยานสำรวจมีกำหนดการโคจรรอบดวงอาทิตย์นาน 7 ปี โดยจะเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศบางส่วนของดวงอาทิตย์ แล้วจะเข้าใกล้พื้นผิวมากที่สุดเท่าที่เคยมีวัตถุซึ่งสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์เคยสำรวจมา ส่วนเป้าหมายหลักของการเก็บข้อมูล คือเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนนอกสุดของชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่าโคโรนา ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีความรู้มากขึ้นถึงที่มาและพัฒนาการของลมสุริยะ

นาซาได้เปลี่ยนชื่อยานสำรวจดวงอาทิตย์ลำนี้จากเดิมคือ “โซลาร์โพรบพลัส” มาเป็น “พาร์กเกอร์ โซลาร์โพรบ” เพื่อเป็นเกียรติแก่ ศ.ยูจีน ปาร์กเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิกงานวิจัยด้านลมสุริยะ

นอกจากนาซาแล้ว องค์การอวกาศยุโรป เป็นอีกหน่วยงานที่มีแผนจะปล่อยยานสำรวจดวงอาทิตย์ชื่อ โซลาร์ ออร์บิเทอร์ ในเดือน ก.พ. ปี 2019

  • ภารกิจสำรวจดวงอาทิตย์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติ
  • เหตุผล 4 ข้อที่ยานในภารกิจสัมผัสดวงอาทิตย์ไม่มอดไหม้
  • ภายหลังจากเลื่อนกำหนดส่งยานลำดังกล่าวเมื่อวานนี้ (11 ส.ค.) เนื่องจากมีสัญญาณเตือนแก๊สฮีเลียมดังขึ้นที่จรวดเดลตา 4 เฮฟวี และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบแก้ไขความผิดปกติได้เสร็จทันกำหนดเวลาปล่อยยาน ทำให้ต้องเลื่อนภารกิจนี้ออกไปอีก 24 ชม. มาเป็นวันนี้แทน

    สำหรับการส่งยานปาร์กเกอร์ โซลาร์ โพรบ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศนั้นได้ถูกนำส่งด้วยจรวดเดลตา 4 เฮฟวี ที่แหลมคานาเวอรัลในศูนย์อวกาศเคนเนดี รัฐฟลอริดา และยานลำนี้มีภารกิจสำคัญในการศึกษาปรากฏการณ์เรื่องลมสุริยะ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้สร้างระบบป้องกันดาวเทียมจากลมสุริยะ และทำให้การเดินทางสู่อวกาศมีความปลอดภัยมากขึ้น

อ้างอิง  http://www.deepsnews.com

เทคโนโลยี COBOT ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน

กัน.jpg

ETALEX กำลังหาวิธีเปลี่ยนให้หุ่นยนต์ทำงานผลิตที่อันตรายแทน การใช้ UR10 ทำงานที่มีความเสี่ยงสูง และงานซ้ำๆ กลายเป็นงานอัตโนมัติ พวกเขาสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานได้โดยไม่ต้องมีรั้วกั้นให้ยุ่งยาก หรือใช้มาตรการด้านความปลอดภัยพื้นที่เป็นพิเศษ ตั้งแต่เริ่มใช้ UR10 สถานที่ทำงานปลอดภัยมากขึ้น

ข้อท้าทาย:
Etalex ผู้ผลิตระบบลิ้นชักของแคนาดาต้องการแขนหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานที่สามารถใช้งานได้หลายชนิด ในขณะที่ใช้พื้นที่ผลิตอันมีค่าเพียงเล็กน้อย

หนึ่งในงานที่ใช้หุ่นยนต์ทำแทน คือ งานยกขึ้นเครื่องพับโลหะ 8 ชั่วโมงต่อวันที่เคยให้แรงงานคน 8 ชั่วโมงต่อวัน งานนี้เป็นงานที่ต้องให้แรงกายมากซึ่งทำให้เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุ

“เราต้องการระบบอัตโนมัติที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถใช้งานได้ใน 10 วงจรการผลิตที่แตกต่างกัน เรามีพื้นที่เพียง 6 ฟุตหน้าเครื่องพับโลหะ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้หุ่นยนต์ทำงานนี้ได้โดยไม่ต้องล้อมรั้วป้องกันภัย”- Jean Francois Rousseau, วิศวกรโรงงาน, Etalex

การแก้ไข:
Etalex เลือกหุ่นยนต์ที่ใช้พื้นฐานของ UR10 หุ่นยนต์ยืนตระหง่านที่จุดเริ่มต้นของโรงงานผลิตใหญ่มโหฬารขนาด 300,000 ตารางฟุต แตกต่างจากหุ่นยนต์อื่นๆ อีก 25 ตัว เพราะ UR10 ไม่มีรั้วป้องกันภัยล้อมที่กินพื้นที่อันมีค่า

UR10 ยกชิ้นส่วนออกจากเครื่องพับโลหะโดยใช้ถ้วยดูดและวางซ้อนชิ้นส่วนนั้นๆ ใกล้ๆ งานซ้ำๆ ที่อันตรายนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้แขนหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน

งานใช้แรงงานที่ใช้พนักงานลดลงเหลือแค่วันละหนึ่งชั่วโมง ซึ่งใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของพาเลทแต่ละแผ่นและเปลี่ยนขดลวด ช่วยเพิ่มเวลาการทำงานอันมีค่าในงานที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น

Richard Clive ผู้ปฏิบัติการเครื่องจักรที่ Etalex เน้นว่า UR10 ทำให้ที่ทำงานมีความปลอดภัยขึ้นมาก:

“ก่อนหน้านี้คุณต้องวางมือลงไปใกล้กับเครื่องพับโลหะ มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่การใช้ Universal Robots แทนจะทำให้ไม่มีโอกาสได้รับบาดเจ็บ”

 

“เราต้องการระบบอัตโนมัติที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถใช้งานได้กับ 10 วงจรการผลิตที่แตกต่างกัน เรามีพื้นที่เพียง 6 ฟุตหน้าเครื่องพับโลหะ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้หุ่นยนต์ทำงานนี้ได้โดยไม่ต้องล้อมรั้ว

อ้างอิง  https://www.universal-robots.com/

เทคโนโลยีอวกาศ

อวกาศ หมายถึงพื้นที่บนท้องฟ้าเหนือพื้นโลกขึ้นไป 200 กิโลเมตร ซึ่งพ้นจากชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกของเราเอาไว้ครับ

ในอวกาศไม่มีอากาศที่สามารถกระเจิงแสงอาทิตย์ (Scattering of light) ให้เรามองเห็นเป็นสีน้ำเงินเหมือนในเขตบรรยากาศของโลกได้ ในอวกาศนั้นจึงมืดมิดเป็นสีดำที่เต็มไปด้วยแสงจากดาวฤกษ์นับล้าน ๆ ดวงในเอกภพ สภาพสุญญากาศในอวกาศทำให้เราไม่สามารถพูดคุยกันได้ เพราะว่าคลื่นเสียงไม่สามารถเดินทางในสุญญากาศได้

ก่อนหน้านี้เรามักคิดว่าอวกาศคือความว่างเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่องว่างในระหว่างดวงดาวมากมายในอวกาศนั้นกลับเต็มไปด้วยฝุ่นและแก๊สจำนวนมากครับ แม้แต่ส่วนที่ว่างที่สุดก็ยังเต็มไปด้วยอะตอมและโมเลกุลต่าง ๆ รวมถึงรังสีต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อนักบินอวกาศ ตัวอย่างเช่น รังสีอินฟราเรดและอัลตร้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา รังสีคอสมิก นอกจากนี้ยังมีอนุภาคต่าง ๆ ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสงอีกด้วย

ทำไมต้องสำรวจอวกาศ?

ก็เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ย่อมมีความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้เรื่องราวของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อยากรู้อดีตและอนาคตของตัวเอง การคาดเดาเรื่องราวของตัวเรานี้ เราอาจคาดเดาได้จากประสบการณ์ การเรียนรู้ การสังเกตคนอื่นที่อยู่รอบตัวเรา แล้วนำมาอนุมานได้ว่าตัวเราเคยเป็นอย่างไรและอนาคตจะเป็นอย่างไรฃ

ซึ่งการเรียนรู้ความเป็นมาและเป็นไปของโลกก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อไม่มีใครเกิดมาทันเห็นการกำเนิดโลก มนุษย์เราจึงต้องศึกษาและเรียนรู้โลกของเรา จากการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวดวงอื่น ๆ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับโลกว่ากำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ

ยุคแห่งการบุกเลิกอวกาศ

กรง

การส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 (Sputnik 1) เมื่อปี พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลก และเป็นยานอวกาศลำแรกในโครงการสปุตนิก ดำเนินการโดยสหภาพโซเวียต (รัสเซียขณะนั้น) นับเป็นยุคบุกเบิกสู่การแข่งขันทางอวกาศ โดยในช่วงตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการพัฒนาความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางอวกาศอย่างต่อเนื่อง

แต่ในช่วงหลังนั้น การสำรวจอวกาศไม่ใช่การสำรวจเพื่อแข่งขันและชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีอวกาศ แต่เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อร่วมสำรวจอวกาศ เช่นการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station : ISS) และสั่งสมองค์ความรู้เกี่ยวกับอวกาศและดาราศาสตร์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติในอนาคต เช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียม การสำรวจทรัพยากรโลก เป็นต้น

จรวด (Rocket)

การเดินทางสำรวจอวกาศนั้น ส่วนสำคัญที่ทำให้การส่งดาวเทียมหรือยานสำรวจอวกาศทะยานพ้นเขตแรงดึงดูดของโลกและเดินทางออกสู่ห้วงอวกาศได้ก็คือ “จรวด” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการนำยานอวกาศ ดาวเทียม หรืออุปกรณ์ประเภทอื่น ๆ ขึ้นสู่อวกาศ การจะขึ้นไปสู่อวกาศได้นั้นจรวดจะต้องมีแรงขับเคลื่อนสูงมาก เพื่อเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลกก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้าสู่วงโคจรของโลกหรือเคลื่อนที่ออกสู่อวกาศ

จรวด ทำงานตามกฎของนิวตันข้อที่ 3 ที่กล่าวไว้ว่า “แรงกิริยา = แรงปฏิกิริยา” โดยจรวดจะปล่อยแก๊สร้อนออกทางท่อท้ายด้านล่าง (แรงกิริยา) ทำให้จรวดเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน (แรงปฏิกิริยา)

สิ่งสำคัญที่ทำให้จรวดมีแรงขับเคลื่อนได้ คือ เชื้อเพลิง ซึ่งความหมายของเชื้อเพลิงในที่นี้ไม่ใช่เชื้อเพลิงปกติที่เราใช้กับเครื่องยนต์ทั่วไป แต่หมายรวมถึงทั้งเชื้อเพลิงและอ๊อกซิเจนซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวอ็อกซิไดซ์ การสันดาปในเครื่องยนต์ทั่วไปจะใช้ออกซิเจนที่อยู่ในอากาศรอบ ๆ เครื่องยนต์ แต่ในกรณีของจรวด จะต้องมีถังบรรจุออกซิเจนติดไปกับจรวดด้วย เนื่องจากในอวกาศไม่มีอากาศซึ่งเป็นแหล่งออกซิเจน

เราสามารถจำแนกประเภทจรวดออกเป็น 2 ประเภท ตามชนิดของเชื้อเพลิง ดังนี้ครับ

Rocket2-Types

– จรวดเชื้อเพลิงแข็ง (Solid-propellant rocket)

เชื้อเพลิงที่ใช้เป็นแท่งเชื้อเพลิงแข็งซึ่งเป็นสารประกอบของไฮโดรเจนและคาร์บอน ส่วนตัวออกซิไดส์ เป็นสารประกอบออกซิเจน

จรวดมีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ตรงกลางจะเป็นช่องว่างซึ่งเป็นพื้นผิวส่วนที่เผาไหม้ เมื่อเชื้อเพลิงเกิดการเผาไหม้ขึ้นแล้วจะไม่สามารถหยุดได้จนกว่าเชื้อเพลิงจะถูกเผาไหม้หมด

– จรวดเชื้อเพลิงเหลว (Liquid-propellant rocket)

เชื้อเพลิงที่ใช้คือ เคโรซีน (kerosene) หรือไฮโดรเจนเหลว ส่วนตัวออกซิไดซ์คือออกซิเจนเหลว จรวดประเภทนี้เป็นจรวดที่มีโครงสร้างซับซ้อนเพราะจำเป็นต้องมีถังเก็บเชื้อเพลิงเหลว และถังเก็บออกซิเจนเหลวแยกออกจากกันและเพื่อให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย จึงต้องมีท่อและปั๊มเพื่อลำเลียงเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์เพื่อทำการเผาไหม้ จรวดเชื้อเพลิงเหลวสามารถควบคุมปริมาณการไหม้และปรับทิศทางของกระแสแก๊สได้

อ้างอิง  https://www.nstda.or.th

นักวิทย์ฯ จีน ค้นพบยุงใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดเท่าฝ่ามือ ใหญ่กว่ายุงปกติ 10 เท่า !

นักวิทย์ฯ จีน ค้นพบยุงใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดเท่าฝ่ามือ ใหญ่กว่ายุงปกติ 10 เท่า !

นักกีฏวิทยาจีน ค้นพบยุงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความยาวปีก 11.5 เซนติเมตร ใหญ่กว่ายุงปกติถึง 10 เท่า รายงานเผย จะถูกนำมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมในเร็ว ๆ นี้

สา.jpg

ถ้าให้นึกถึงชื่อสัตว์ หรือ แมลงที่ไม่ชอบ เชื่อว่า ยุง คือหนึ่งในนั้น เพราะยุงคือแมลงที่น่ารำคาญ ชอบมาส่งเสียงดัง หวี่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ หู โดนกัดทีหนึ่งก็คันไปหลายวัน บางคนเกาจนเลือดออกซิบ ๆ และที่สำคัญก็คือเป็นพาหะนำโรคร้าย แค่ยุงตัวเล็ก ๆ ขนาดไม่ถึง 1 เซนติเมตรก็รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้แล้ว แล้วถ้าเป็นยุงตัวใหญ่ยักษ์ ขนาดเท่า ๆ ฝ่ามือล่ะ หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าจะมียุงตัวใหญ่แบบนั้นอยู่บนโลก แต่มันมีอยู่จริง ๆ และมีคนพบเจอมันแล้ว

จากการรายงานของเว็บไซต์เดลี่เมล เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 ระบุว่า ยุงตัวดังกล่าวถูกพบที่บริเวณภูเขาชิงเฉิง ในมณฑลเสฉวน ทางตอนกลางของประเทศจีน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยมันมีขนาดที่น่าทึ่งมาก ความยาวปีกทั้ง 2 ข้างรวมกันคือ 11.15 เซนติเมตร และความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางคือ 4.8 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับยุงปกติทั่วไปแล้ว ยุงตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าถึง 10 เท่า

นายจ้าวหลี นักกีฏวิทยาอาวุโสและนักอนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์ป่า ผู้ค้นพบยุงตัวกล่าว เปิดเผยว่า ยุงตัวนี้จัดอยู่ในสปีชีส์ Holorusia Mikado สปีชีส์ยุงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มันกลับมีขนาดใหญ่กว่าเมื่ออยู่ในจีน ซึ่งเมื่อจ้าวหลีพบเห็นยุงตัวนี้ ขนาดที่ใหญ่ผิดปกติของมันทำให้เขาประหลาดใจมาก เนื่องจากขนาดปกติของยุง Holorusia Mikado นั้นอยู่ที่ประมาณ 8 เซนติเมตร แต่ยุงตัวนี้ใหญ่กว่ามาก และน่าจะเรียกได้ว่ามันคือยุงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เท่าที่เคยค้นพบมา

ถึงแม้ว่าโลกตะวันตกจะเรียกแมลงชนิดนี้ว่า แมลงวันขายาว หรือ แมลงวันแมงมุม (crane fly) ซึ่งเป็นคนละชนิดกับยุง แต่จ้าวหลีก็ยืนยันว่าแมลงที่เขาค้นพบตัวนี้คือยุงแน่ ๆ โดยในทางชีววิทยานั้น จ้าวหลี กล่าวว่า ยุงเป็นแมลงที่จัดอยู่ในอันดับย่อย Nematocera และสามารถแบ่งออกได้เป็น 7 วงศ์ รวมทั้ง Chironomidae และ Tipuloidae โดยในภาษาจีนนั้น crane fly คือชื่อเรียกโดยรวมของแมลงในวงศ์ Tipulidae มีชื่อเรียกในภาษาจีนที่แปลได้ว่า “ยุงขนาดใหญ่”

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการจำกัดความของยุงในแต่ละที่ก็ทำให้เกิดความสับสนได้ แต่ละประเทศก็มีชื่อเรียกแมลงแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป แต่ในมุมมองของนักชีววิทยานั้น จ้าวหลี กล่าวว่า เจ้า Holorusia mikados ก็สามารถจัดได้ว่าเป็นยุงชนิดหนึ่งเช่นกัน โดยมันมีวงจรชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1 สัปดาห์ ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตามันจะดูน่ากลัว แต่มันก็ไม่กัดคน และมันมีชีวิตอยู่ได้โดยสารอาหารที่มันได้รับขณะที่ยังเป็นตัวอ่อน

ยุงขนาดใหญ่ตัวนี้จะถูกนำมาเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับชม ในงานนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์แมลงภาคตะวันตกของจีน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2561 ผู้ใดที่สนใจอยากยลโฉมมันอย่างชัด ๆ ก็สามารถเดินทางไปชมได้

อ้างอิง  https://hilight.kapook.com

เฉลย…ลูกไฟสีเขียวเหนือท้องฟ้า จ.เชียงราย คาดเป็น “ดาวตกเทา เฮอร์คิวลิดส์”

เฉลย…ลูกไฟสีเขียวเหนือท้องฟ้า จ.เชียงราย คาดเป็น “ดาวตกเทา เฮอร์คิวลิดส์”


ต่อมา เฟซบุ๊ก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page ระบุว่า คาดว่าลูกไฟดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกเทา เฮอร์คิวลิดส์ (Tau Herculids) ศูนย์กลางการกระจายอยู่บริเวณกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะมีอัตราการตกสูงสุดในคืนวันที่ 2 มิถุนายน 2561

กร.jpg

ทั้งนี้ในแต่ละวันจะมีวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลกเป็นจำนวนมาก โดยทั่วไปจะเป็นลักษณะคล้ายดาวตก เพียงแต่ครั้งนี้เป็นดาวตกที่สว่างมาก ในทางดาราศาสตร์ถือเป็นเรื่องปกติและสามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

อ้างอิง  https://hilight.kapook.com

การจราจร

กรมทางหลวง ปิดการจราจรหน้าสนามบินดอนเมือง 14 – 17 ก.ย.นี้ 22.00 – 04.00 น.

กง

กรมทางหลวง ปิดการจราจรหน้าสนามบินดอนเมือง 14-17 ก.ย. 61 นี้ เวลา 22.00 – 04.00 น. แนะนำใช้โทลเวย์ พร้อมแจ้งยกเลิกการใช้สะพานลอยคนเดินข้ามหน้าวัดดอนเมือง ระยะเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 14–30 ก.ย. 61 สอบถามโทร 1586

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 61 กรมทางหลวง ประกาศว่า ตามที่กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ฝั่งขาออก บริเวณสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อเพิ่มช่องจราจรทางตรงเป็น 3 ช่องจราจร เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและลดปัญหาการจราจรหนาแน่นบริเวณดังกล่าว เนื่องจากลักษณะเส้นทางที่มีอยู่เดิมเป็นคอขวดนั้น โดยกำหนดแล้วเสร็จประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2561

ในการนี้ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) จะดำเนินการปิดการจราจรทั้งขาเข้าและขาออก บนทางหลวงหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ตอน งามวงศ์วาน–ดอนเมือง ที่กม. 24+279 ระหว่างวันที่ 14–17 กันยายน 2561 เวลา 22.00–04.00 น. เพื่อปรับปรุงสะพานลอยคนเดินข้ามบริเวณหน้าสนามบินดอนเมือง

โดยถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้า จะทำการปิดช่องทางหลักชั่วคราว ระหว่าง กม. 24+000 – 24+300 ให้เบี่ยงไปใช้ช่องทางหลักขาออกแทน และถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออกจะทำการปิดช่องทางหลักชั่วคราว ระหว่าง กม. 24+000 – 24+300 ให้ใช้ช่องทางคู่ขนานขาออกหน้าวัดดอนเมืองแทน

นอกจากนี้กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงที่ 13 (กรุงเทพ) จะดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานเข้าอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานดอนเมือง บนทางหลวงหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ที่ กม.24+279

จึงมีความจำเป็นต้องยกเลิกการใช้สะพานลอยคนเดินข้ามชั่วคราว (หน้าวัดดอนเมือง) ระหว่างวันที่ 14–30 กันยายน 2561 รวมระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำการทุบรื้อและยกวางคานสะพานลอยคนเดินข้ามใหม่ โดยให้ใช้สะพานลอยคนเดินข้ามที่โรงแรมอมารีแทน

ทั้งนี้หากผู้ใช้เส้นทางดังกล่าวและประชาชนทั่วไปไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง หรือต้องการแจ้งเหตุต่างๆ ระหว่างดำเนินการ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)

อ้างอิง  https://www.sanook.com

หนุ่มแฉ “สาวแปลกหน้า”

หนุ่มแฉ “สาวแปลกหน้า” แอบปีนเข้าบ้าน มานั่งชาร์จแบตมือถืออย่างสบายใจ

การา.jpg

หนุ่มสุดงง เจอผู้หญิงแปลกหน้าปีนเข้ามาในรั้วบ้าน แถมนั่งชาร์จแบตมือถืออย่างสบายใจ อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

กลายเป็นประเด็นที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Kanon Tiger Saitong ได้โพสต์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง เมื่ออยู่ๆ มีหญิงสาวแปลกหน้ารายหนึ่งได้ปีนรั้วเข้ามาในบ้านซึ่งใส่กุญแจรั้วไว้

และเข้ามานั่งชาร์จมือถือ พร้อมมีกระเป๋าเครื่องมือเตรียมมาด้วย แต่ได้มีเพื่อนบ้านเข้ามาถามว่าปีนเข้ามาทำไม ก่อนที่ผู้หญิงคนดังกล่าวจะบอกว่ามาหลบแดด แล้วก็ปีนรั้วออกมา เพื่อรีบขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป

อย่างไรก็ตาม ผู้โพสต์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ได้ติดต่อมาขอโทษ และแสดงตัวกับผมแล้วครับ ว่าไม่มีเจตนาที่จะบุกรุก ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และพาไปลงบันทึกประจำวันเป็นที่เรียบร้อย

ผมไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุก แต่จะไม่ลบโพสต์นี้ จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่ใช่มิจฉาชีพ เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์ว่า การกระทำการบุกรุกบ้านคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาล็อกกุญแจรั้วไว้ ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง อย่าทำอีก”

อ้างอิง  https://www.sanook.com

สลด 3.เด็กหญิง

สลด 3 เด็กหญิงดับพร้อมกันในวันเดียว ขี่จยย.ซ้อน 3 ชนประสานงารถตู้

อาว.jpg

เด็กหญิงชาวขอนแก่นขับรถจักรยานยนต์ซ้อน 3 ชนประสานงากับรถตู้ที่ขับสวนทางมา ดับคาที่ 2 ราย และเสียชีวิตที่ รพ. อีก 1 ราย คาดถนนเป็นทางโค้งทำให้มองไม่เห็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (9 ก.ย.) เมื่อเวลา 17.00 น. สภ. บ้านฝาง ได้รับแจ้งเหตุมีอุบัติเหตุรถจยย.ชนกับรถตู้ บริเวณถนนระหว่างบ้านแดงใหญ่ บึงสว่าง ต.แดงใหญ่ อ.บ้านฝาง เยื้อง รพ.สต.บ้านแดงใหญ่ มีผู้บาดเจ็บและชีวิต จึงลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ชีพและรถพยาบาล

ที่เกิดเหตุเป็นถนน 2 เลน พบรถตู้ ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน นข 4691 ขอนแก่น ลักษณะด้านหน้าฝั่งคนขับมีรอยชนเป็นทางยาว ใกล้กันพบรถจยย. ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ทะเบียน ขมท 87  ขอนแก่น ในสภาพพังเสียหาย และมีเศษกระจกพร้อมชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์กระจายทั่วบริเวณ และพบร่างผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ 3 คน นอนนิ่งอยู่บนถนน

เจ้าหน้าที่กู้ชีพพร้อมพยาบาลได้ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ผู้บาดเจ็บ 2 ใน 3 คน ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทราบชื่อคือ ด.ญ.นงนภัส (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 13 ปี และ ด.ญ. วังเงินทอง (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 12 ปี  ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัส อีก 1 คน ซึ่งยังไม่ทราบชื่อ-สกุล เจ้าหน้าที่ได้นำส่งโรงพยาบาลขอนแก่น

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า เด็กหญิงทั้ง 3 คน เป็นชาวบ้านโนนบ่อ ต.พระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เห็นเด็กทั้ง 3 คน ขับรถจยย.ซ้อนมาด้วยกัน เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งถนนมีลักษณะเป็นทางโค้งจึงอาจทำให้มองไม่เห็นรถตู้ที่วิ่งสวนมา จึงเกิดชนประสานงาเข้าอย่างจัง จึงเป็นเหตุให้เด็กหญิงทั้ง 3 คนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

เด็กหญิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เจ้าหน้าที่ได้นำส่งโรงพยาบาลขอนแก่น ได้เสียชีวิต เนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว เป็นเหตุให้อุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย

อ้างอิง  https://www.sanook.com