ข่าวซากหมู่บ้านวิปโยค

แห่ไปดู ซากหมู่บ้านวิปโยค โผล่พ้นอ่างเก็บน้ำ ในรอบเกือบ 30 ปี

การ.jpg

 

ประชาชนจำนวนมากเดินทางมาเที่ยวชมบริเวณอ่างเก็บน้ำคลองกระทูน ที่ปรากฏให้เห็นซากหมู่บ้านจมน้ำกว่า 30 ปี หลังชลประทานพร่องน้ำออกกว่า 60%

(12 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองกระทูน ต.กระทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ชลประทานได้มีการพร่องน้ำออกกว่า 60% เพื่อรองรับน้ำในช่วงมรสุมปลายปีนี้ ทำให้เห็นถึงก้นอ่างเก็บน้ำที่มีซากปรักหักพังของบ้านเรือนชาวบ้าน เมรุเผาศพ ซากวัดอารามต่างๆ ที่จมอยู่ใต้น้ำกว่า 30 ปี โดยสามารถเดินลงไปบนถนนเดิมของหมู่บ้านและชมสภาพหมู่บ้านเก่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีตได้ชัดเจน

ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ได้เกิดภัยพิบัติเมื่อช่วง 22 พฤศจิกายน 2531 น้ำป่าไหลหลากและภูเขาถล่มอย่างรุนแรงจนกลายเป็นซากปรักหักพังและมีผู้ที่เสียชีวิตสูญหายไร้ที่อยู่นับพันราย และถือเป็นมหาวิปโยคครั้งใหญ่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช รองจากเหตุการณ์พายุแฮเรียพัดถล่มเข้าที่บริเวณ ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง เมื่อปี 2505

กาสว.jpg

นายคิริพงศ์ นุราช เลขาณุการนายกเทศมนตรีตำบลกระทูน อ.พิปูน กล่าวว่า หลังจากที่ประชาชนทราบข่าวว่ามีการพร่องน้ำออกจนเห็นสภาพเมืองบาดาลที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลาถึง 30 ปี ต่างเข้ามาเที่ยวกันจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่

ผู้คนที่ประสบเหตุการณ์ในยุคนั้นและสูญเสียคนที่รักไปมาเยี่ยมและรำลึกถึงคนที่รักไม่น้อยเช่นกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นหลายคนถูกดินโคลนทับถมหาไม่พบอีกจำนวนมาก ขณะที่ชลประทานแจ้งว่าจะพร้องน้ำไปอีกประมาณ 8 วัน จากนั้นก็จะเริ่มเก็บน้ำซึ่งจะทำให้น้ำสูงขึ้นจนไม่สามารถมองเห็นซากหมู่บ้านกะทูนเดิมที่จมอยู่ใต้บาดาล

อ้างอิง  https://www.sanook.com

แนะกลุ่มเสี่ยง ระวัง ‘โรคความดันโลหิตสูง’

ภาพ4.jpg

 “โรคความดันโลหิตสูง” เพชฌฆาตแห่งความเงียบ หนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั่วโลกพบเสียชีวิตมากกว่า 7 ล้านคน ในขณะที่ไทยในรอบ 5 ปี (พ.ศ. 2556-2560) ป่วยเพิ่มจาก 3.9 ล้านคน เป็น 5.5 ล้านคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีจำนวนการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามความเสื่อมถอยของหลอดเลือดจากอายุที่มากขึ้น กรมควบคุมโรค เตือน!! อย่าชะล่าใจ ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว ไม่มีอาการแสดง กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่แล้ว ควรหมั่นตรวจสุขภาพและวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ต่าง ๆ ที่อาจอันตรายถึงชีวิต

          นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  “โรคความดันโลหิตสูง” หรือภาวะความดันโลหิตสูง คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรทั่วโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เป็นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่กำลังขยายวงกว้างและมีความรุนแรงมากขึ้น ภาวะความดันโลหิตสูงจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น และไม่มีสัญญาณเตือนหรืออาการบ่งชี้โรคให้ทราบล่วงหน้า จึงมักจะถูกเรียกว่าเป็น “เพชฌฆาตแห่งความเงียบ” ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวนมากเป็นโรคนี้โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองมีภาวะความดันโลหิตสูงแต่มักตรวจพบโดยบังเอิญ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอาการปวดมึนบริเวณท้ายทอย วิงเวียนศีรษะ ซึ่งมักเป็นหลังการตื่นนอน พอตอนสายอาการจะทุเลาลง ทั้งนี้อาการแสดงของโรคความดันโลหิตสูงจะพบเมื่อค่าความดันโลหิตสูงในระดับปานกลางถึงระดับสูง โดยมักมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เลือดกำเดาไหล ตามัว มองไม่เห็น เหนื่อยง่าย ใจสั่น มือเท้าชา แขนขาอ่อนแรง ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นผลกระทบที่เกิดจากพยาธิสภาพของโรค

          สาเหตุของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงนั้น ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การมีกิจกรรมทางกายน้อย การบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของเกลือและไขมันสูง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังเกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรมหากพบคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงโอกาสที่คนอื่น ๆ ในครอบครัวจะเป็นโรคชนิดนี้ก็จะเป็นไปได้สูงมาก และหากเกิดโรคความดันโลหิตสูงขึ้นแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษา ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่ออวัยวะต่าง ๆ หลายระบบในร่างกาย และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น โรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายอย่างยิ่ง

          นพ.สุวรรณชัย กล่าวเพิ่มเติมว่าจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า “โรคความดันโลหิตสูง” เป็นสาเหตุการตายของประชากรทั่วโลกสูงถึง 7.5 ล้านคนหรือร้อยละ 12.8  ของสาเหตุการตายทั้งหมด และพบว่าทั่วโลกมีผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจำนวนมากถึงเกือบพันล้านคน สองในสามจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และยังมีการคาดการณ์อีกว่าในปี พ.ศ. 2568 ความชุกของโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.56 พันล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่าอัตราการป่วยโรคความดันโลหิตสูงในรอบ 5 ปีที่ผ่าน มา (พ.ศ. 2556-2560) เพิ่มขึ้นจาก 3,936,171 คน เป็น 5,597,671 คน และพบอัตราป่วยโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ในรอบ 3 ปี ที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558-2560) เพิ่มขึ้นจาก 540,013 คน เป็น 813,485 คน ส่วนสถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุไทยจากรายงานพบว่าผู้สูงอายุเพศหญิงและเพศชายในช่วงอายุ 66-69 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 47 และ 50 ผู้สูงอายุเพศหญิงและเพศชายในช่วงอายุ 70-79 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 53 และ 60และผู้สูงอายุเพศหญิงและเพศชายอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป เป็นโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 59 และ 69 จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากเมื่อบุคคลมีอายุมากขึ้นความเสื่อมถอยของหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้น

          “ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนอย่าชะล่าใจโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป หรือผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่แล้ว ควรใส่ใจในการป้องกันด้วยการควบคุมความดันโลหิตของตนเองให้เป็นปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยหมั่นตรวจสุขภาพและวัดค่าความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้งและต้องรู้ค่าตัวเลขและความหมายของค่าความดันโลหิตของตนเอง เมื่อมีความเสี่ยงหรือกำลังเผชิญกับโรคแล้วจะสามารถรับมือได้ทัน ซึ่งทางสมาพันธ์ความดันโลหิตโลกกำหนดค่าความดันโลหิตที่เหมาะสม คือ ตัวบน(ค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว) ไม่ควรเกิน 120 ค่าตัวล่าง (ค่าความดันขณะหัวใจคลายตัว) ไม่ควรเกิน 80 กล่าวคือในคนปกติจะมีระดับความดันโลหิต 120/80

          นอกจากนี้โรคความดันโลหิตสูงยังสามารถป้อง กันได้ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากอ้วนให้รีบลดน้ำหนัก รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน มัน เค็มจัด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดการสูบบุหรี่และงดดื่ม สุรา พักผ่อนให้เพียงพอและทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ หากมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุโรค 1422” นพ.สุวรรชัย กล่าว.

สมุนไพรใกล้ตัว ‘ไล่ยุง’

 ฤดูฝนสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมีทั้งความชื้นและความร้อน การเจ็บป่วยที่มักเกิดขึ้นนอกจากอาการไข้หวัด ไอ จาม เจ็บคอ ความชื้นแฉะอับชื้นยังทำให้เกิดเชื้อรา เกิดโรคน้ำกัดเท้า โรคกลาก เกลื้อน ตามร่างกาย และรวมถึงโรคที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังกันก็คือ ไข้เลือดออก โรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ

ยุง.jpg

          อาจารย์นิเวศน์ บวรกุลวัฒน์ แพทย์แผนไทยปฏิบัติการ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้การดูแลสุขภาพช่วงฤดูฝน แนะใช้สมุนไพรใกล้ตัวในครัวเรือนไล่ยุง และป้องกันการเจ็บป่วยว่า ช่วงเวลานี้ที่ยังคงมีฝนตก มีความเฉอะแฉะ หากเปียกฝนหรือโดนละอองฝน ควรรีบรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้อบอุ่นไว้ก่อน เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรคต่างๆ ที่จะตามมา โดยสวมเสื้อผ้าแห้ง อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย หรือแม้แต่การดื่มน้ำอุ่นๆ การดื่มน้ำขิง ซึ่งมีรสเผ็ดร้อนก็จะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายอบอุ่น

          “การป้องกันโรคเพื่อไกลจากความเจ็บป่วยในช่วงฤดูฝนและทุกฤดูกาล สำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมช่วงฤดูฝนเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลนี้ ทางการแพทย์แผนไทยกล่าวถึงการเจ็บป่วยด้วย ลม (วาตะ) การไหลเวียนของธาตุลมในร่างกายสะดุด ติดขัด หรือบางคนมีธาตุลมมากกว่าปกติ หรือบางคนน้อยกว่าปกติ เช่น บางคนอาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากลมในร่างกายมากกว่าปกติ หรือ อาจมีอาการปวดขัดตามเนื้อตามตัว เนื่องจากระบบไหลเวียนเลือดและลมในร่างกายไม่ดี การรักษาสมดุลของการไหลเวียนเลือดและลม สองส่วนนี้จึงมีความสำคัญ”

          การดูแลสุขภาพ ปรับสมดุลร่างกายด้วยอาหาร ทานพืชผักสมุนไพร เป็นอีกส่วนหนึ่งช่วยป้องกันการเจ็บป่วย ทั้งนี้ อ.นิเวศน์ ให้ความรู้เพิ่มอีกว่า ในภาพรวมสภาพอากาศของฤดูฝนมีความเปลี่ยนแปลง ดังที่กล่าวมีทั้งความร้อนและเย็นชื้น ร่างกายอาจปรับสมดุลไม่ทัน การปรับสมดุลร่างกายด้วยอาหาร กินอาหารที่มีส่วนผสมของพืชผักสมุนไพรที่มี รสเผ็ดร้อน อย่างเช่น พริกไทย ดีปลี ขิง ข่า ตะไคร้ พริก โหระพา ใบกะเพรา ฯลฯ ซึ่งมีฤทธิ์ร้อน สรรพคุณจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

          ส่วน อาหารรสขม เช่น มะระ สะเดา ฯลฯ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการไข้ในช่วงฤดูนี้ได้เช่นกัน

          นอกจากนี้ช่วงฝนตกชุก ทำให้เกิดน้ำขัง เกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงซึ่งก็อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้ การกำจัดลูกน้ำยุงลาย กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง โดยทำบริเวณบ้านให้สะอาด ไม่มีมุมอับทึบที่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ยุงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ละเลย!

          ในส่วนพืชสมุนไพรไล่ยุง ก็มีหลายชนิด โดยเฉพาะสมุนไพรคู่ครัว ใกล้ตัว อย่างเช่น ข่า ตะไคร้ โหระพา สะระแหน่ ส้ม มะกรูด ฯลฯ ซึ่งมีกลิ่นฉุน ยุงและแมลงต่าง ๆ ไม่มารบกวน

          “ตะไคร้ เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรมากประโยชน์ น่าสนใจ นอกจากมีรสเผ็ด มีกลิ่นหอม ซึ่งมักนำมาปรุงอาหาร หาได้ง่าย โดยส่วนเหง้าใช้นำมาเป็นยาขับลม ระบายลม และถ้าได้นำเหง้ามาต้มดื่มช่วงหน้าฝน จะช่วยทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีและยังรักษาความอบอุ่นให้กับร่างกายได้ดีเยี่ยม

          ส่วน ใบ หรือลำต้นตะไคร้ สามารถนำมาใช้ไล่ยุง โดยทุบพอบุบ ๆ ให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แล้วนำไปวางไว้ตามมุมห้อง วางในที่มืดๆ ที่มียุงก็จะช่วยไล่ยุงได้ โดยตะไคร้ที่นิยมนำมาใช้ไล่ยุงได้แก่ ตะไคร้หอม ขณะที่ โหระพาใบสะระแหน่ ก็มีดีสามารถนำมาบดหรือขยี้ให้มีกลิ่นออกมาแล้วนำไปวางตามจุดที่มียุง วางไว้ในที่ยุงชุม หรือวางไว้บริเวณพัดลม นำไปปัด แกว่งให้ทั่วบ้านให้กลิ่นแพร่กระจายไปทั่วบ้านก็จะช่วยไล่ยุงได้ดีเช่นกัน”

          กระเทียม สมุนไพรคู่ครัวสามารถเลือกนำมาใช้ไล่ยุงได้ดีเช่นกัน โดยนำไปทุบให้พอแหลกให้กลิ่นกระเทียมออกมา นอกจากนี้ยังมี ใบแมงลัก ซึ่งมีกลิ่นที่ช่วยไล่ยุงไกล เช่นเดียวกับ มหาหงส์ ต้นไม้ที่มีดอกสวยและหอมละมุน เหง้าของมหาหงส์มีคุณสมบัติเด่นน้ำมันหอมระเหยช่วยไล่ยุง เปลือกส้ม เปลือกมะนาว มะกรูด รวมถึงพืชตระกูลส้ม ก็สามารถนำมาใช้ได้ โดยถ้าเป็นเปลือกส้มสดให้บีบให้น้ำมันหอมระเหยฟุ้งออกมา

          ลูกมะกรูด ช่วยป้องกันลูกน้ำยุงลายได้ โดยบ้านที่เก็บน้ำไว้ใช้โดยมีตุ่มเป็นภาชนะให้นำลูกมะกูดร้อยแขวนไว้บริเวณปากตุ่ม กลิ่นหอมจากมะกรูดจะช่วยป้องกันยุงไม่มาวางไข่ นอกจากนี้ยังมีพืชที่เหมาะกับการปลูกเป็นไม้ประดับ อย่างเช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง ก็มีส่วนไล่ยุงไกลได้เช่นกัน

          แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูฝนควรต้องสำรวจและดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ทั้งนี้เมื่อพบความผิดปกติ หรือเริ่มมีอาการป่วยอย่าวางใจ ควรรีบรักษาก่อนลุกลาม.

อ้างอิง http://www.thaihealth.or.th

อหิวาต์หมูระบาดหนัก

คุมเข้ม อหิวาต์หมูระบาดหนัก ชะลอนำเข้าจากจีน

หมุ.jpg

“อธิบดีกรมปศุสัตว์” สั่งเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสนามบินสุวรรณภูมิตรวจเข้มชิ้นส่วน-ผลิตภัณฑ์หมูนำเข้าจากจีน หลังอหิวาต์แอฟริกาในหมูระบาดหนักที่จีน พร้อมคุมเข้มด่านชายแดน 89 ช่องทางใน 25 จว.รวมถึงออกประกาศชะลอนำเข้าไทย 90 วัน ประสานกลาโหมจับตาด่านพรมแดนห้ามเคลื่อนย้าย ชี้เชื้อมีความทนทานอยู่นานกว่า6เดือน เผยถ้าสถานการณ์รุนแรงอาจเสนอรมว.เกษตรฯห้ามนำเข้า

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ได้ประสานด่านกักกันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดชุดปฏิบัติการสุนัขดมกลิ่นตรวจสอบการลักลอบเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนซากสุกรและผลิตภัณฑ์จากสุกรที่มีต้นทางจากประเทศจีน เนื่องจากขณะนี้โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) ระบาดรุนแรงขึ้น

อีกทั้ง ให้กองสารวัตรและกักกันเข้มงวดตรวจค้นและปราบปรามการลักลอบการนำเข้าสุกรเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนและด่านพรมแดนทั้ง 89 ช่องทาง ใน 25 จังหวัด ล่าสุด ยังออกประกาศชะลอนำเข้าหมูเป็น รวมทั้งผลิตภัณฑ์สุกรจากจีนและประเทศที่มีการระบาดของโรคเป็นระยะเวลา 90 วัน ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 แต่ถ้าปรากฎท้องที่ใดสถานการณ์โรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกรจากจีนยังมีความเสี่ยงอยู่ อธิบดีมีอำนาจที่จะประกาศชะลอการนำเข้าต่อไปได้อีกครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อเนื่องไป หรือถ้าสถานการณ์ระบาดรุนแรงมากขึ้น กรมปศุสัตว์จะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศกำหนดห้ามการนำเข้า หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสุกรหรือซากสุกรจากจีนเลยได้

อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อออกประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่อง ชะลอการนำเข้าหรือ นำผ่านสุกรหรือซากสุกรจากจีน พ.ศ.2561 ได้ประสานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอความร่วมมือให้แจ้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมทุกภาคส่วน ทั้งทางอากาศยานและตามแนวชายแดน ให้เข้มงวดตรวจสอบการนำเข้าและเคลื่อนย้ายสัตว์ – ซากสัตว์ ตามแนวชายแดน รวมทั้งแจ้งหน่วยงานในสังกัดกรมปศุสัตว์ ให้เข้มงวดตรวจสอบการนำเข้าและเคลื่อนย้ายสัตว์ – ซากสัตว์ทุกช่องทางที่มีการนำเข้าและนำผ่านทั้งการขนส่งทางบก ทางเรือ และทางอากาศยาน รวมถึงเตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการของสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ในพื้นที่ สำหรับตรวจชันสูตรและยืนยันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หากพบเชื้อไวรัสก่อโรคจะได้เร่งป้องกันควบคุมการระบาดทันที โรคนี้ แม้ไม่ระบาดจากสัตว์สู่คน แต่เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีความทนทานสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 6 เดือน จึงจำเป็นต้องป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรและผู้ประกอบการด้วย

อ้างอิง http://www.thaihealth.or.th

ยานอวกาศ

ฮะยะบุซะ 2 ไปถึงดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย

02-02-16-3.1.jpg

2 ก.ค. 2561
รายงานโดย: วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
วันที่ 27 มิถุนายน 2561 ยานฮะยะบุซะ 2 ได้จุดจรวดควบคุมทิศทางเพื่อปรับทิศทางเข้าสู่การโคจรเทียบดาวเคราะห์น้อยซึ่งเป็นเป้าหมายของยานได้สำเร็จ 

ฮะยะบุซะ 2 เป็นยานสำรวจขององค์การสำรวจการบินและอวกาศญี่ปุ่นหรือแจ็กซา ออกเดินทางจากโลกไปเมื่อปี 2557 เป้าหมายของการสำรวจคือ ดาวเคราะห์น้อย 162173 ริวกิว (162173 Ryugu)

ในการสำรวจของฮะยะบุซะ 2 จะไม่โคจรรอบดาวเคราะห์ริวกิว แต่จะใช้วิธีโคจรเทียบ นั่นคือการโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปพร้อม ๆ กับวัตถุเป้าหมายโดยรักษาระยะห่างจากดาวเคราะห์น้อย 20 กิโลเมตรคงที่ 

ยานฮะยะบุซะ 2 มีวิธีสำรวจที่หลากหลายและพิสดารมาก ไม่เพียงแต่สำรวจจากระยะไกลเท่านั้น แต่ยังมีการส่งยานลูกไปลงจอด มีรถสำรวจถึงสามคันลงไปวิ่งบนพื้นผิว มีแม้แต่การทิ้งระเบิดใส่และเก็บตัวอย่างกลับโลก

ฮะยะบุซะ 2 จะตามติดเพื่อสำรวจดาวเคราะห์น้อยริวกิวไปเป็นเวลา 18 เดือน ในช่วงแรก ยานจะสำรวจพื้นผิวเพื่อเลือกตำแหน่งที่เหมาะที่สุดที่จะปล่อยยานและรถลงไป รวมถึงสำรวจบริเวณรอบดาวเคราะห์น้อยเพื่อค้นหาดาวบริวารที่อาจมีอยู่ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อยานได้ 

ยานลงจอดมีชื่อว่า มาสคอต (MASCOT) ย่อมาจาก Mobile Asteroid Surface Scout สร้างโดยศูนย์การบินและอวกาศเยอรมัน ยานจะปล่อยมาสคอตลงไปบนดาวเคราะห์น้อยในเดือนตุลาคม แม้จะเป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมเรียบ ๆ แต่มาสคอตก็ยังเคลื่อนที่ได้โดยการกลิ้งกระดอน ภารกิจในส่วนนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง อุปกรณ์สำคัญที่อยู่บนตัวมาสคอตก็คือ มาตรรังสี สเปกโทรมิเตอร์รังสีอินฟราเรด แมกนิโทมิเตอร์ กล้องถ่ายภาพ

ดาส.jpg

ในช่วงท้ายของภารกิจ ยานฮะยะบุซะ 2 จะหย่อนระเบิดลงไปบนดาวเคราะห์น้อย เพื่อระเบิดพื้นผิวให้เป็นหลุม จากนั้นก็จะเคลื่อนที่เข้าไปจ่อที่หลุมนั้นเพื่อเก็บตัวอย่างวัสดุจากก้นหลุมแล้วนำกลับมายังโลก คาดว่าแคปซูลเก็บตัวอย่างจะกลับมาถึงโลกในปี 2563

ดาวเคราะห์น้อยริวกิว ถูกค้นพบในปี 2542 เป็นดาวเคราะห์น้อยชนิดซี (คาร์บอน) เป็นดาวเคราะห์น้อยในกลุ่มอะพอลโล ซึ่งเป็นกลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรใกล้โลก ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จึงอยู่ในรายชื่อ ดาวเคราะห์น้อยอันตรายยิ่ง (PHA) ด้วย ดาวเคราะห์น้อยริวกิวมีรูปร่างคล้ายเพชรข้าวหลามตัด มีความกว้างประมาณ 900 เมตร หมุนรอบตัวเองตามแนวตั้งฉากกับวงโคจรด้วยคาบ 7.5 ชั่วโมง

“ตอนนี้ เรามองเห็นหลุมอุกกาบาต มองเห็นก้อนหิน เห็นสภาพภูมิประเทศที่มีความหลากหลายอย่างมากในแต่ละพื้นที่ เป็นทั้งเรื่องน่าประหลาดใจในแง่วิทยาศาสตร์ และเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมด้วย” ยุอิชิ ซึดะ ผู้จัดการโครงการของฮะยะบุซะ 2 กล่าว 

การสำรวจดาวเคราะห์น้อยครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของแจ็กซา ในปี 2553 แจ็กซาได้ส่งยานฮะยะบุซะไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยชื่ออิโตะกะวะมาแล้ว แม้ในครั้งนั้นมีปัญหามากมาย แต่ยานก็ยังนำฝุ่นจากผิวดาวเคราะห์น้อยกลับมายังโลกได้สำเร็จ ในภารกิจของฮะยะบุซะ 2 นี้จะละเอียดกว่าที่ภารกิจของฮะยะบุซะมาก

อ้างอิง    https://www.google.co.th

สวนนงนุช

ที่เที่ยวสวนนงนุชพัทยา.jpg

สวนนงนุชพาราไดซ์ ที่เที่ยวที่ครองใจคู่รักในพัทยา แหม่พูดแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องบอกเลยนะครับว่ามาเที่ยวที่นี้ต้องมากับคู่รักกันแน่ๆ แต่ที่จริงแล้วจะมากับคู่รักหรือครอบครัวก็อบอุ่นกันไปคนละแบบนะครับ ส่วนตัวผมว่ามากับครอบครัวดีกว่าเพราะถ้ามาเป็นหมู่คณะเขามีส่วนลดให้ด้วยครับ

สวนนงนุชมีจุดที่สามารถเที่ยวชมธรรมชาติต่างๆ ภายในสวนนงนุชมากเกือบ 60 จุด เพลิดเพลินกับการแสดงของ ช้างแสนรู้ ความสามารถที่คุณคาดไม่ถึงทั้งในการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล โบว์ลิ่ง รวมทั้งศิลปะการวาดภาพและการเต้นรำ อันเป็นที่ชื่นชอบและประทับใจของนักท่องเที่ยว ที่ได้มาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก และชมความยิ่งใหญ่งดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยที่อ่อนช้อยสวยงาม พร้อมฉากและเครื่อง แต่งกายที่ประณีตอลังการใส่ใจทุกรายละเอียดของการแสดง

หากเพื่อนๆเข้ามาในสวนนงนุชแนะนำให้มารับแผนที่หรือคำอธิบายต่างๆที่ท่านสงสัยที่เคาวน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ตึกประชาสัมพันธ์ด้านในถัดจากจุดจำหน่ายบัตรมาไม่ไกล สอบถามสาวๆที่นี่ดูได้นะครับ

“โรงละครนงนุชเธียเตอร์”
สร้างความตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่ของโรงละคร ในระบบแสงสีเสียง โรงละครนงนุชเธียเตอร์พร้อมต้อนรับและให้บริการกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เปิดรอบการแสดงทั้งหมด 7 รอบการแสดง
โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้
รอบที่ 1 เวลา 10.30 น.
รอบที่ 2 เวลา 11.30 น.
รอบที่ 3 เวลา 13.30 น.
รอบที่ 4 เวลา 14.30 น.
รอบที่ 5 เวลา 15.30 น.
รอบที่ 6 เวลา 16.30 น.
รอบที่ 7 เวลา 17.30 น.

เวลาเปิดปิด
เปิดให้บริการตั้งแต่ 8.00 น. – 18.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด ส่วนร้านอาหารต่าง ๆ รวมถึงคาราโอเกะเปิดถึง 4 ทุ่ม ทุกวันเช่นกัน
ค่าธรรมเนียม
1. บัตรผ่านประตูชมสวน ท่านละ 150 บาท (เด็กสูง 90 – 130 ซม. 80 บาท)
2. ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย 4 ภาค ท่านละ 250 บาท
3. ชมการเเสดงช้างแสนรู้ ท่านละ 250 บาท
4. ราคาแพ็คเกจหน้าประตู (บัตรผ่านประตูชมสวน + ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย 4 ภาค
+ ชมการเเสดงช้างแสนรู้ ท่านละ 400 บาท (เด็กสูง 90 – 130 ซม. 250 บาท))
เวลาในการเที่ยวชมสวน
กับพื้นที่ 1,500 ไร่ มีสวนสวยมากมาย รวมทั้งกิจกรรมและสิ่งน่าสนใจให้เยี่ยมชม แนะนำให้ใช้เวลา 1 วัน ในการเที่ยวชมสวนได้มีข้อมูลในแผนที่และบริการรถขนส่ง ท่านสามารถชมสวนโดยใช้เวลาเพียงครึ่งวันได้
อาหาร มาเที่ยวสวนเราท่านไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร เราจัดเตรียมอาหารทุกแบบไว้คอยต้อนรับ ท่านสามารถเลือกตามใจชอบทั้งอาหารสากล อาหารอิตาเลี่ยน อาหารจีน อาหารตะวันตกและอาหารอร่อยๆแบบไทยๆ และอย่าลืมไปชิมอาหารทะเล

สวนนงนุชพัทยา.jpg

การเดินทาง
สำหรับการเดินทางเพื่อมาเที่ยวชมสวนนงนุชแห่งนี้ไม่ยากเลย โดยหากท่านมาจากกรุงเทพ
ขับรถตามถนนสุขุมวิทผ่านจังหวัดชลบุรี ผ่านเมืองพัทยาโดยใช้เส้นทางถนนสายสุขุมวิทตลอดทางเมื่อ
เข้าเขตบ้านอำเภอ ผ่านทางเข้าวัดญาณสังวรารามตรงมาที่ตำบลบางเสร่ สวนนงนุช จะอยู่ก่อนที่จะถึง
ตำบลบางเสร่ประมาณ 3 กิโลเมตรจะมีป้ายใหญ่บอกทางเข้าชัดเจนไม่ต้องกลัวหลงทาง…
หรือท่านอาจจะติดต่อสอบถามขอรายละเอียดได้ที่
สวนนงนุช 038 – 238061 -63

อ้างอิง  https://www.ipattaya.co

 

สวนน้ำ

โดยสวนน้ำ Santorini Park Waterventures มีเครื่องเล่นที่ให้เราได้ไปสนุกกันมากมาย ไฮไลท์เด็ดที่ต้องมาลองก็ต้องนี้เลยเจ้าสไลด์เดอร์สีฟ้าที่เหมือนท่อรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ ชื่อว่าTORNADO สไลเดอร์ที่ดีที่สุดในโลก การันตีด้วยรางวัลมากมาย ส่งตรงจากประเทศแคนนาดา โดยเราจะต้องนั่งในห่วงยางที่สามารถนั่งได้ถึง 4 คน แล้วไหลจากท่อเข้าสู่กรวยขนาดใหญ่ที่เหมือนกำลังโดนดูดไปในทอร์นาโด ความมันส์และความเสียวให้เต็มร้อยเลยค่ะ

9a9232b32e96b08e83cf8168d81c2b4faf708220.jpg

ค่าเข้าผู้ใหญ่ราคา 900 บาท จูเนียร์ (120-129 cm.) 650.-  เด็ก (90-119 cm.)  350 บาท และ เด็กสูงไม่เกิน 90 cm. เข้าฟรีค่ะ

ที่ตั้ง : ซานโตรินี  พาร์ค ชะอำ เลขที่ 555 หมู่ 3 ต.เขาใหญ่ ชะอำ จ.เพชรบุรี
โทร : 02434 6921-8, 032 772 997-9
เปิดบริการ : จันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.30-18.30 น. / เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 9.00-18.30 น.

สวนน้ำรามายณะ ถูกสร้างขึ้นในปี 2016 เป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ ประกอบด้วยเครื่องเล่นสไลเดอร์ 21 เครื่อง มีกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจกว่า 50 ชนิด เป็นสวนน้ำที่มากกว่าแค่สวนน้ำ ในพื้นที่อันกว้างขวางนั้น มีกิจกรรมต่างๆมากมายให้ร่วมสนุก – ทั้งในน้ำและบนบก – รับประกันความบันเทิงเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่นี่ ทั้งเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายเลิศรส

อัตราค่าบริการ

บัตรรายวัน – ทั้งวัน (บาท) ปกติ
ผู้ใหญ่(สูงตั้งแต่ 122 ซม.ขึ้นไป) 1,190 ‎฿
เด็ก (สูงตั้งแต่ 91 – 121 ซม.) 890 ‎฿
ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สตรีมีครรภ์ และผู้พิการ 590 ‎฿
เด็ก (สูงต่ำกว่า 90 ซม.) ฟรี

9fd291a7b006a0bef423e849e0bc0944277dd243.jpg

cefbe2d2d1a41769972ca8bbeadd869fb7b0809f.jpg

อ้างอิง  https://www.chillpainai.com/

น้ำตกนางรอง

น้ำตกนางรอง ตั้งอยู่ที่ตำบลหินตั้ง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร เดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 3049 น้ำตกนางรองอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ ไม่สูงนัก มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ในช่วงฤดูฝนกระแสน้ำจากน้ำตกนางรองจะไหลเชี่ยวมากควรระมัดระวังในการลงเล่นน้ำ การจัดบริเวณภายในเป็นระเบียบสะอาดตา และมีบ้านพักบริการ

nangrongfalls02.jpg

การเข้าชมน้ำตกนางรองนักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าบำรุงสถานที่ ดังนี้ รถยนต์โดยสาร (รวมบุคคล) 150 บาท รถยนต์เล็ก (รวมบุคคล) 50 บาท รถตู้ (รวมบุคคล) 100

ทางเข้าน้ำตกนางรอง การเดินทางที่ใช้เวลาไม่นานนักจากเมืองนครนายกมาตามทางหลวงหมายเลข 3049 สังเกตุกันสักนิดตรงหมายเลขของทางหลวงนำหน้าด้วยเลข 3 เพราะทางหลวงสายนี้แยกมาจากทางหลวงหมายเลข 33 เส้นทางสายหลังมุ่งหน้าไปทางตะวันออกจังหวัดสระแก้ว เป็นการแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบของกรมทางหลวง ไม่อย่างนั้นภาคตะวันออกจะมีเพียง 4 จังหวัดซึ่งเล็กไปหน่อย แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับการเดินทางไปน้ำตกนางรองมากนัก แค่เกริ่นขึ้นมาพอให้รู้กันเป็นความรู้รอบตัว

กลับมาว่ากันที่ทางหลวงหมายเลข 3049 กันดีกว่า ถนนสายนี้เป็นถนนสายท่องเที่ยวหลักของนครนายก แต่ละวันต้อนรับนักท่องเที่ยวนับพัน ในวันหยุดจำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งสูงไปเป็นหลักหมื่น ถนนสายนี้ผ่านสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง มีทางแยกสาขาไปทางหลวงหมายเลข 3050 มุ่งตรงไปยังน้ำตกสาริกา จากทางแยกมาไม่ไกลก็จะมีอุทยานพระพิฆเณศองค์ใหญ่ของนครนายก เลยมาอีกหน่อยมีวัดพราหมณีสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อปากแดงอันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อปากแดงเป็นที่โจษขานกันไปทั่ว คนที่ได้ยินข่าวต่างก็มุ่งหน้ามาสักการะขอพรสะเดาะเคราะห์นอนโลงศพมากมายแน่นวัดไปหมด ปากทางเข้าวัดรถติดมากเพราะคนเข้าคนออกวัดแห่งนี้เยอะมากนั่นเอง ถัดไปอีกไม่ไกลมากจะมีตลาดของฝากนครนายก ตรงนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ารถจะมากขนาดไหน ต่างคนต่างจอดหาของฝากติดไม้ติดมือกันไปเท่าที่เห็นมีเยอะจะเป็นหน่อไม้ต้ม น้ำพริกชนิดต่างๆ กล้วยแปรรูปเช่น กล้วยฉาบ ฯลฯ ผักสดก็มีหลายชนิดตลาดที่เป็นแผงข้างถนนเรียงต่อกันยาวเหยียดนี้กลายเป็นจุดซื้อของฝากที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเห็นอยู่ในหลายจังหวัด

สถานที่ท่องเที่ยวถัดไปเป็นเชื่อนขุนด่านปราการชลหรือเขื่อนคลองท่าด่าน โครงการในพระราชดำริ สร้างประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนหลายครัวเรือนในเรื่องน้ำ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด เหนือเขื่อนชมวิวสวยงาม ท้ายเขื่อนลงเล่นน้ำในลำธาร มีบ้านพักหลายขนาดไว้บริการนักท่องเที่ยว ไม่ไกลกันนักก็จะมีทางเข้าวังตะไคร้ ที่แห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวมานับสิบๆ ปี ตั้งแต่ผมเรียนอยู่เวลาจะไปเที่ยวเล่นน้ำ ก็จะมีชื่อวังตะไคร้อยู่ในลิสต์ตัวเลือกหนึ่งเสมอๆ จากนั้นสุดถนนที่น้ำตกนางรอง สถานที่ท่องเที่ยวของเราสำหรับวันนี้

ทางเข้าน้ำตกนางรองมีร้านค้ามากมายให้บริการมีลานจอดรถให้เลือกหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่จะพยายามขับเข้าไปให้ลึกที่สุดจะได้เดินไม่ไกล เมื่อจอดรถแล้วแนะนำให้มาไหว้ฤๅษีลับแล และฤษีกัตปะ อยู่ในอาศรมแห่งนี้ก่อนที่จะไปเที่ยวน้ำตกอย่างสบายใจ น้ำตกแต่ละแห่งนั้นจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่เสมอ เป็นความเชื่อของผมตั้งแต่เป็นเด็ก จนตอนนี้ไม่ว่าจะไปเที่ยวน้ำตกไหนก็จะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนอื่นใด

ป้ายน้ำตกนางรอง มุมมหาชน ไปที่ไหนก็ถ่ายป้ายที่นั่น จะได้รู้ว่าเราได้มาแล้ว และจะได้จำได้ไม่ลืมว่าที่นี่ชื่อน้ำตกนางรอง ไม่งั้นหากเอาไฟล์รูปภาพจากกล้องไปลงคอมไว้มากๆ ไม่จัดโฟลเดอร์ให้ดีมีหวังเปิดดูทีหลังทั้งงงทั้งจำไม่ได้ ใครจะว่าวิวสิ้นคิดก็ช่าง ผมจะถ่ายรูปป้ายเป็นรูปแรกๆ ของอัลบัมเสมอ ป้ายน้ำตกนางรองอยู่ริมถนน ห่างจากลำธารที่ไหลผ่านโขดหินน้อยใหญ่เกิดเป็นน้ำตกหลายชั้นเพียงไม่มาก แต่ถ้าจะลงไปยังน้ำตกจะต้องเดินทางสะพานทางลงน้ำตกให้เจอก่อน เพราะระหว่างถนนกับลำธารมีห้วยเล็กๆ คั่นอยู่ ตอนนี้ผมยังไม่ลงน้ำตกแต่จะไปยังจุดชมวิว เพื่อชมวิวสวยๆ ของน้ำตกนางรองก่อนnangrongfalls03.jpg

ทางเดินไปจุดชมวิว จากลานจอดรถ แม้ว่าจะมีถนนสายเล็กๆ ขึ้นเนินไปแต่เจ้าหน้าที่จะเอาเหล็กมากั้นเขียนบอกว่าห้ามรถทุกชนิดเข้าไป ฉะนั้นเราก็ต้องเดิน แต่ระยะทางมันไม่ไกลมาก ดูเหมือนจะประมาณ 300 เมตรละมั้ง สองข้างทางเขียวขจีต้นไม้สูงใหญ่ตลอดแนว แสดงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ความชุ่มชื้นดูกันที่มอสเฟิร์นที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ และขอบทางเดิน

nangrongfalls08.jpg

อ้างอิง   https://www.touronthai.com

 

ตลาดรถไฟรัชดา

ตลาด.jpg

กลับมาให้หายคิดถึงกันแล้ว กับ ตลาดนัดรถไฟ ซึ่งครั้งนี้ตั้งอยู่แถบรัชดา ซึ่งหลายคนคงคิดถึงกับตลาดนัดสุดแนวแห่งนี้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่เก่าแถว อตก. หลังจากถูกเวนคืนที่ดินไป แม้ว่าตลาดนัดรถไฟ จะผุดขึ้นอีกแห่งที่ศรีนครินทร์ แต่ด้วยความไกลอยู่แถบชานเมือง คนในเมืองเดินทางไปไม่สะดวกนัก แต่การกลับมาครั้งนี้ ตลาดนัดรถไฟ รัชดา จะเป็นศูนย์รวมร้านค้าสุดชิค และร้านของเก่าสุดเท่ อีกเช่นเคย

ตลาดนัดรถไฟ รัชดา กลับมาครั้งนี้ มีอะไรดีกว่าที่คิด

ตลาดนัดรถไฟ รัชดา ได้เปิดทำการวันแรก 8 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา โดยจะเปิดทุกวันพฤหัสบดี – วันอาทิตย์ ตั้งแต่ เวลา 17.00 น. – 01.00 น. ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก หลังศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดา การเดินทางมาที่สะดวกที่สุด คือการนั่งรถไฟใต้ดิน MRT มายังสถานีศูนย์วัฒนธรรม ขึ้นทางออกที่ 3

travel.mthai.com ไม่รอช้าที่จะไปเก็บภาพมาฝากทุกท่าน ถึงแม้ว่าสินค้าอาจจะยังไม่ครบครันเท่าศรีนครินทร์ บางส่วนที่เป็นห้องแถวยังไม่แล้วเสร็จดี เพราะเพิ่งเปิด แต่คาดว่าเมื่อทุกอย่างครบสมบูรณ์ ตลาดนัดรถไฟแห่งนี้ จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของวัยรุ่น อีกครั้งอย่างแน่นอน

เริ่มเดินเข้ามา ก็พบกับกองทัพวงโยฮาร์ดคอร์ ช่วย PR ตลาดนัดรถไฟ ช่วยสร้างบรรยากาศให้คึกคักมากขึ้น

สวัสดีครับ สำหรับคนที่กำลังเปิดอ่านบทความนี้อยู่ น่ากำลังจะมองหาสถานที่เที่ยวเดินชิลล์ ยามค่ำคืน แน่นอน ถึง search มาเจอ หรือได้รับแชร์จากเพื่อนก็ตามที

แน่นอนครับ เรากำลังจะพูดถึงตลาดนัดรถไฟรัชดากัน

สำหรับหลายๆ คนที่ชอบของเก่า ของแปลกๆ หรือ ที่เดินกลางคืนแบบแนวๆ น่าจะรู้จักชื่อตลาดรถไฟ กันมาเป็นอย่างดี แม้ว่าต้นตำรับที่ตลาดรถไฟจตุจักรนั้นจะเหลือเพียงตำนาน แต่การเดินทางของกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ยังสานต่อได้ ที่ ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมากอย่างเช่นเคย เล่นเอาการจราจรยามค่ำคืนในแถบนั้นหนาแน่นเลยทีเดียว

และล่าสุดในปี 2558 ตลาดนัดรถไฟรัชดา ก็ถือกำเนิดขึ้นมา อีกครั้ง เรียกว่าครั้งนี้ เขยิบเข้ามาใจกลางเมืองมากขึ้น เพราะอยู่ด้านหลังของห้างเอสพลานาดรัชดา นั่นเอง

อ้างอิง https://www.google.co.th

 

 

ข่าวถนนอันตราย!

ข่าว.jpg

วันที่ 4 ก.ย. 61 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนถนนสายช่างแสง-สถานีรถไฟอยุธยา ช่วงบริเวณจุดกลับรถใกล้กับโรงแรมบ้านแรมอิน ต.บ้านเกาะ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ช่วงกลางคืนจะเกิดอุบัติเหตุมีรถยนต์หลงเส้นทางเสียหลักพุ่งชนแท่งแบริเออร์

โดยที่ผ่านมามีผู้ที่สัญจรผ่าน และไม่ชำนาญเส้นทางประสบอุบัติเหตุ และรถยนต์ได้รับความเสียหายจำนวนหลายคัน โดยเมื่อกลางดึกวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุ 2 รายซ้อน ซึ่งกล้องวงจรปิดบันทึกภาพนาทีที่รถเสียหลักพุ่งชนเอาไว้ได้

จากการตรวจสอบพบว่าถนนเส้นทางที่มีการร้องเรียนเป็นถนนสองช่องการจราจรวิ่งสวนทางกัน แบ่งช่องการจราจรด้วยแท่งแบริเออร์ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โดยช่วงบริเวณจุดกลับรถจะมีช่องการจราจรสำหรับรถชะลอเพื่อกลับรถ พบร่องรอยการชนแท่งแบริเออร์พังเสียหาย เส้นตีแบ่งบอกถึงจุดกลับรถช่วงเวลากลางคืนจะมองไม่เห็น ไม่มีป้ายแสดงเส้นทางกลับรถ รวมไปถึงแสงสว่างไม่เพียงพอ

จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า รถที่วิ่งมาจากสี่แยกช่างแสงมุ่งหน้าไปทางสถานีรถไฟ เมื่อวิ่งผ่านจุดกลับรถโดยชิดทางขวา รถเสียหลักพุ่งไปเกยเอากับแท่งแบริเออร์เพราะไม่ชำนาญทางคิดว่าเป็นถนนที่ไม่มีอะไรขวาง ไม่มีป้ายเตือนที่มีสัญญาณเตือน อีกทั้งแสงสว่างไม่พอ

ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกรถยนต์อีกคันวิ่งมาด้วยความเร็ว เปลี่ยนช่องการจราจรไปทางขวาเกยเข้ากับแท่งแบริเออร์ตรงจุดกลับรถ รถยนต์ได้รับความเสียหาย อุบัติเหตุลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงเวลากลางคืนและช่วงที่ฝนตก

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในจุดเกิดเหตุให้ข้อมูลว่า บริเวณนี้มักมีรถยนต์เสียหลักชน และปีนขึ้นไปบนแท่งแบริเออร์เป็นประจำ เพราะกลางคืนจะมืดมากแสงสว่างไม่เพียงพอ มองไม่เห็นแท่งแบริเออร์ จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไข ติดตั้งสัญญาณไฟเตือน ป้ายเตือน อย่างเร่งด่วน

เพราะอุบัติเหตุแต่ละครั้งมีผู้บาดเจ็บและรถยนต์เสียหายหลายครั้งแล้ว และไม่อยากให้มีการสูญเสียถึงชีวิต เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางรองที่นักท่องเที่ยวเข้าจากถนนสายเอเชียเพื่อเข้าตัวเมืองอยุธยา และมุ่งหน้ามาสถานีรถไฟ

ผู้ใช้ถนนผ่านเส้นทางนี้ให้ข้อมูลอีกว่า ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่ชำนาญเส้นทางมักจะเกิดอุบัติเหตุมองไม่เห็นแท่งแบริเออร์ ยิ่งเวลากลางคืนมืดมาก อยากให้เพิ่มแสงสว่างและป้ายเตือนกับผู้ใช้รถใช้ถนนชัดเจนมากกว่านี้ และผู้ขับขี่รถยนต์ไม่ควรประมาทขับขี่รถยนต์ไม่ใช้ความเร็ว

อ้างอิง  https://www.sanook.com